ถาม-ตอบปัญหาธรรมะ

ประสบการณ์ทางจิต

๑๗ พ.ค. ๒๕๕๒

 

ประสบการณ์ทางจิต
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต

ถาม-ตอบ ปัญหาธรรม วันที่ ๑๒ พฤษภาคม ๒๕๕๒
ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่) ต.หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี

 

เดี๋ยวนะเราขอเคลียร์ปัญหานิดหนึ่ง เราอ่านถูกไหม มีคนนั่งในพระตาทิพย์หมายความว่าอย่างไร อ๋อ นั่งในดวงอาทิตย์เลยหรือ อย่างนั้นเลยหรือ วันนี้ว่าจะปูพื้นนะ ปูพื้นปั๊บเมื่อกี้เขาถามปัญหากลับไปแล้วมั้ง ถามเรื่องกรวดน้ำ เมื่อกี้ถามเรื่องกรวดน้ำจะพูดเรื่องกรวดน้ำกรวดท่าพื้นๆ แต่อันนี้มานี่ไม่พื้นเดี๋ยวค่อยว่าทีหลัง

เราปูพื้นไปก่อนนะ ไม่รีบกลับนะ ไม่ใช่เขาเขียนปัญหาถามมาไง พอคุยๆ อยู่ยังไม่ทันตอบเขากลับไปก่อน ปัญหายังไม่ทันตอบเลย เขากลับไปแล้ว ปัญหาไว้ตอบทีหลังเราจะพูดไปก่อน

มันเหมือนกับอย่างเช่นตอนเช้า ตอนเช้าคนเยอะ พอคนเยอะขึ้นมาคนเราจิตใจมันนานาจิตตัง นานาจิตตังนะคนเราปฏิบัติใหม่ เราศึกษามาใหม่ใช่ไหม อะไรที่ถูกต้องเราอยากทำให้ถูกต้อง แล้วบางคนที่เขาไม่รู้เขาทำไม่ถูกต้อง ไอ้คนที่เห็นว่าไม่ถูกต้องมันก็แบบว่าไม่สบายใจ ก็จะแนะจะนำกัน เราเลยตอนเช้าเราเลยพูดเสียงดังนิดหนึ่งบอกว่า ให้เคนใหม่เลย ให้วางไว้ คือเขาวางไว้ผิด คือเขาวางไว้โดยที่ยังไม่ได้ประเคนแล้วเขาจะรีบออกไป

อีกคนหนึ่งก็บอกว่าต้องให้ประเคนใหม่ เราบอกว่าถ้าเราเห็นเราไม่ต้องไปบอกเขา เพราะว่าเขาจะออกไปเขามีธุระเราก็จับประเคนเสีย อะไรที่ผิดเราทำกันเองไงให้จิตใจเรากว้างขวาง ให้จิตใจเราเผื่อแผ่กัน บางคนเขาไม่รู้สิ่งใดเราต้องอนุโลมแล้วเราไปพูดกันทีหลัง สิ่งเหล่านี้เราไปบอกกันทีหลังเพราะประสบการณ์อย่างนี้เราเคยอยู่บ้านตาดมา

ตอนอยู่บ้านตาดสมัยก่อนเรารับประเคนของที่หน้าท่านไง พอหน้าท่านปั๊บเราสังเกตเองนะ พระบางองค์พอรับของเสร็จแล้วก็จะบอกว่าโยมต้องกัปปิ โยมต้องอะไรนี่ แล้วมันไปฝึกกันตอนนั้นมันไม่ทัน ท่านก็เอ็ดเอาว่าทำไมโทษนะ “ทำไมพระมันโง่ขนาดนั้น จะไปสอนอะไรกันตอนนี้ ตอนนี้มันสอนไม่ได้”

แล้วพอเวลาเราไปทำ เวลาเราเข้าไปเราทำ เวลาเขาประเคนของมาอย่างเช่น ส้มต้องกัปปิเราจะวางไว้ข้างๆ แล้วซ้อนกันมาเป็นตั้งๆ เลย ซ้อนไว้ๆๆๆ เสร็จแล้วพอประเคนนี้เสร็จปั๊บ เราก็เรียกเด็กในวัดหรือโยมวัดเข้ามามันเป็นไง กัปปิก็กัปปิทีหมดเลย

แต่ถ้าต่อหน้าเขามา เมื่อเขาเป็น บางคนเขาเป็นแล้วเขาอยากได้บุญของเขา เขาขอกัปปิเอง ถ้ามันไม่เสียเวลา เราก็รับกัปปิ กัปปิยังกะโรหิ เราก็บอกเลย เราบอกกัปปิยังกะโรหิ ถ้าคนเป็นเขาจะทำให้ทันทีเลย ถ้าคนไม่เป็นปั๊บมันจะเหลอหลา พอเหลอหลาเราก็รู้ว่าคนนี้ไม่เป็น เราก็รับเลยแล้ววางไว้

คือว่าเราต้องฉลาดกว่าเขา คือเราสังเกตได้ไงว่าเป็นหรือไม่เป็น ถ้าเป็นผลประโยชน์ของเขา เขาอยากทำคุณงามความดีของเขา เราต้องให้ความร่วมมือกับเขา แต่ถ้าเขาไม่เป็น ถ้าไม่เป็นเราก็รักษาเขาไว้ด้วยไม่ให้เขาต้องเสียหน้าเห็นไหม รักษาเขาไว้ คือเขาทำบุญแล้วเรารักษาหน้าเขาไว้ แล้วเรารับไปเลย แต่เรารู้ว่าถูกหรือผิด เราต้องแยกเอง

ไม่ใช่ว่าเรารักษาหน้าเขาไว้ผิดก็ทำผิดแอบทำผิดกันไม่ใช่ รักษาหน้าเขาไว้แล้วของนั่นผิดเราเอาเก็บไปวางไว้ก่อนแล้วเดี๋ยวทำให้มันถูก ทำให้มันถูกทีหลังโดยที่เขาไม่รู้ อยู่กับครูบาอาจารย์ท่านสอนอย่างนี้นะ เรารักษาหน้าเขาไว้ด้วย ไม่หักหน้าเขาด้วย แล้วไม่ทำให้เขาเสียใจด้วย แล้วเรารับ

อย่างเช่น เราอยู่คนเดียวเมื่อก่อนของมาเยอะมากเลย แล้วมันไม่มีใครกัปปิ แล้วเราอยู่คนเดียว เมื่อก่อนเราอยู่ข้างในอยู่คนเดียวนะ ของนี่เรารับประเคนหมดเลย แล้วเราตักใส่บาตรเรา แต่เราไม่ฉันเราเอาไว้ข้างบาตรมันจะผิดตรงไหน ไม่ผิดหรอก

แต่มาอยู่ที่นี่ทำไม่ได้ ทำไม่ได้เพราะอะไร เพราะพระเราเยอะ ๑๐ กว่าองค์ พระเรา ๑๐ กว่าองค์ ถ้าพูดถึงมันผ่านหัวหน้าไปแล้วนี่ โดยธรรมชาติของพระไปอยู่ที่ไหนก็แล้วแต่ เขาจะเชื่อมั่นหัวหน้าเขา ของที่ได้ผ่านหัวหน้ามาแสดงว่าถูกต้องแล้ว

ฉะนั้นถ้าเราอยู่องค์เดียว เรารู้เองเพราะเราเข้าใจได้ว่าอะไรที่เราจะรักษาหน้าเขาไว้ เราเอามา อย่างเนื้อดิบอันนี้เราก็ตักแปะไว้วางไว้ข้างๆ บาตรแล้วไม่ฉันไม่ไปถูกต้อง ไม่เป็นอาบัติหรอก เขาก็สบายใจ โอ้โฮ พระนี่ตักใส่บาตรแล้วเนาะ พระต้องฉันของฉันอร่อยมากเลย วันนี้พระต้องดีใจมากเลยที่ได้กินอาหารของฉันไม่ใช่หรอก ตักไว้ข้างๆ บาตรแล้วไม่แตะมันเลยเพราะว่ามันผิด เขาไม่รู้เขาก็พอใจของเขา เราก็ไม่สะเทือนเขา

แต่พอมาปัจจุบันนี้ไม่ได้ เพราะเราเข้าใจถึงน้ำใจพระเหมือนกัน น้ำใจพระจะไปอยู่ที่ไหนนะ เขาต้องได้ฟังข่าวก่อนแล้วว่าพระองค์นี้เข้ากับเราได้ไหม เราจะเชื่อใจพระองค์นี้ได้ไหม พอความลงใจความเชื่อใจ พอรับประเคนมาแล้ว พอของผ่านจากหัวหน้ามาแล้ว พระอยู่ข้างหลังต้องเชื่อหมดเลยว่าผ่านหัวหน้ามาแล้ว

เขาจะตักด้วยคิดว่าเป็นความถูกต้อง เขาจะรู้ไม่รู้เขาตักของเขาล่ะ ฉะนั้นผ่านเราเป็นพระตรงนี้ต้องทำให้ถูกต้อง แต่เมื่อก่อนเราอยู่องค์เดียวนะ เราทำอีกอย่างหนึ่ง เราอยู่ที่กาลเทศะที่เราจะทำอะไรไม่ให้สะเทือนกันในทางบวกนะ แต่ในทางที่ลบนะ ที่เขามาลองของ เขามาอะไรนี่ เรานี่แรงมาก เวลาเราใส่เขา โอ้โฮ จนเขาร่ำลือว่าเราดุมาก

แต่เวลาเขามาด้วยเจตนาดีที่เขาไม่รู้ตัว เราก็จะรักษาเราจะดูแลเขา แต่เขามาด้วยทิฐิมานะ อยากจะเอาชนะคะคานอวดรู้อวดเห็น เราใส่กระเด็นเลย มีอยู่ที่โพธาราม เขามาขอนิมนต์ไปฉันอาหาร เราบอกเราไม่ไป

“ไม่ไปได้อย่างไรพระไม่รับกิจนิมนต์ก็เป็นอาบัติ ไม่ไปได้อย่างไร” ขึ้นเสียงเลยนะ

เราก็ “ไม่ไป อาบัติตรงไหน เอ็งชี้มาให้ดูสิว่าอยู่ในพระไตรปิฎกตรงไหนว่าพระไม่รับกิจนิมนต์เป็นอาบัติ”

ชี้ให้ดูไม่ได้ ไม่รู้หรอก โยมจะรู้อะไร แต่ฟังตามๆ กันมา เห็นชาวบ้านเขาบอกว่าพระต้องรับกิจนิมนต์ เขาแบ่งแยกไม่ถูกหมดเลย คำว่าพระต้องรับกิจนิมนต์มันอยู่ในธรรม ธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามันมีวินัยกับธรรมไง พระวินัยกับพระธรรม ธรรมและวินัยเป็นศาสดาของเธอ

ในธรรมพระพุทธเจ้าสอนไว้ ภิกษุ ภิกษุทำให้ศรัทธาไทยเขาตกร่วง คือคนเขาเคารพบูชาในศาสนา ภิกษุทำให้เขาขัดใจทำให้เขาเสียใจเป็นอาบัติปาจิตตีย์ ทำศรัทธาไทยให้ตกร่วง คือเขาศรัทธาในศาสนาแล้วเราไปทำให้เขาเสื่อม คือทำให้เขาไม่พอใจเห็นไหมเป็นอาบัติ

แต่การรับกิจนิมนต์มีอาบัติตรงไหนมันเป็นธรรมไง ธรรมคือว่า ภิกษุต้องเป็นหลัก ภิกษุต้องเป็นผู้นำ ต้องทำสิ่งที่ดีๆ กับสังคม ถ้าเกิดเขาทำดีขึ้นมา แล้วภิกษุไปทำให้เสียหายปรับอาบัติปาจิตตีย์ แต่นี้เขาจะให้รับกิจนิมนต์ นิมนต์ไปทำอะไร อย่างเช่นโยมจะถวายอาหารถวายของเราพระไม่รับประเคนเป็นอาบัติ

แล้วถ้าเอ็งประเคนแม่โขง(เหล้า)ให้กู กูต้องรับไหม อ้าว กูต้องรับไม่งั้นก็เป็นอาบัติสิ มันประเคนมันก็ดูว่าของที่ประเคนถูกหรือผิด ควรประเคนหรือไม่ควรประเคน กิจนิมนต์ก็เหมือนกัน

ถ้าสมมุติบริเวณอย่างนี้ไม่มีพระเลยเห็นไหม ดูสิพระโสณะไปเฝ้าพระพุทธเจ้า พระโสณะเป็นลูกศิษย์ของพระกัจจายนะ พระกัจจายนะเป็นพระอรหันต์ แล้วพระโสณะเป็นเณร อยากบวชพระมากก็รอบวชพระ บวชไม่ได้ เพราะพระต้อง ๑๐ องค์ขึ้นถึงจะบวชได้

รอถึง ๒-๓ ปี หรือ ๕ ปี พระถึงครบ ๑๐ องค์ก็ได้บวชพระ พอบวชพระแล้วพระโสณะเป็นพระอรหันต์ เพราะพระกัจจายนะสอนจนถึงเป็นพระอรหันต์ ใครเป็นพระอรหันต์ก็แล้วแต่ อยากจะกราบองค์สมเด็จสัมมาสัมพุทธเจ้ามาก ใครเป็นพระอรหันต์ก็อยากจะหาเจ้าของศาสนาคือเห็นบุญเห็นคุณก็อยากจะไปเฝ้าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

พระกัจจายนะก็อนุญาตให้ไป ก็ฝากขอพรไป ๒ ข้อ

ข้อ ๑. พระอยู่ชนบท ๕ องค์ก็ขอให้บวชได้ เพราะพระมันหายาก

ข้อ๒. รองเท้า

รองเท้าพระพุทธเจ้าอนุญาตให้ตั้งแต่พระโสณะเหมือนกันแต่คนละโสณะ โสณะนั้นเท้าบาง โสณะนี้ลูกศิษย์พระกัจจายนะ ชื่อโสณะเหมือนกัน เวลาเดินแล้วเลือดออกมากที่ว่าเท้าแตกๆ แล้วอนุญาตให้ใส่รองเท้า พระโสณะบอก

“ไม่ได้ ถ้าอนุญาตให้เกล้ากระผมคนเดียว พระก็จะหาว่าเกล้ากระผมอ่อนแอ ถ้าพระพุทธเจ้าจะอนุญาตให้ข้าพเจ้าใส่รองเท้าก็ต้องอนุญาตพระทั้งหมด”

พระพุทธเจ้าเลยอนุญาตพระทั้งหมดไง พออนุญาตปั๊บปัญจวัคคีย์เขาก็เล่นรองเท้าไง ทำรองเท้าอย่างโน้นอย่างนี้ พระพุทธเจ้าก็เลยบัญญัติ มีหุ้มส้นก็เป็นอาบัติทุกกฎ ตัดหมดๆ จนเหลือหนังชิ้นเดียว รองเท้าฟองน้ำหูคีบนี่ก็มีชิ้นเดียว พอชิ้นเดียวปั๊บพระโสณะอยู่ที่อยู่อัฟกานี้มันเป็นภูเขาหินมันบาด ก็ขอว่ารองเท้าให้ใส่หลายชั้นได้

พระโสณะไปเฝ้าพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าให้พระโสณะไปอยู่ในวิหารด้วยกันเลย แล้วให้พระโสณะเทศน์ให้ฟังก็เหมือนกับประสาเราว่าหลวงตากับหลวงปู่แหวนพูดธรรมะกันตรวจสอบกัน พระพุทธเจ้าให้พระโสณะเทศน์ให้ฟัง พระโสณะพูดถึงประสบการณ์ขณะจิตที่ปฏิบัติเป็นอย่างไร แล้วพระโสณะพูด พระพุทธเจ้าอนุโมทนา โสณะพูดดี โสณะพูดถูก แล้วพระโสณะก็ขอพร ๒ ข้อนี้

นี่ไงเราจะย้อนกลับมาที่นี่ ถ้าที่นี่ไม่มีพระกิจนิมนต์ต้องไป เพราะเขาจำเป็นต้องใช้ ถ้าพวกเราชาวพุทธอยากทำบุญไม่มีพระ ถ้าเขานิมนต์นะเราควรไป ต้องไป แต่ถ้าบริเวณนี้พระเต็มไปหมดเลย วัดเต็มไปหมดเลยทำไมเราต้องไป พอเราไม่ไปบอกไม่ไปเป็นอาบัติ อาบัติข้อไหน เราถามเขาอาบัติข้อไหน

อาบัตินะมีแต่สังคมสงฆ์มันเป็นประเพณีวัฒนธรรมว่าพอโยมมานิมนต์พระ พระต้องไปๆ พระต้องไปๆ ต้องไปก็กลายเป็นต้องไปแล้วมีกฎหมายรองรับ มีอะไรมีธรรมวินัยข้อไหนรองรับเรื่องกิจนิมนต์ แต่ในวินัยนะภิกษุจำพรรษาอยู่พรรษาที่นี่ ๓ เดือน จะไปไหนโดยไม่ต้องบอกลาได้ ๑ เดือน ภิกษุรับกฐินแล้วไปไหนไม่ต้องบอกลาได้ ๔ เดือน

สมมุติว่าพระที่นี่มีอยู่ ๕ องค์ เราเป็นหัวหน้าเราก็รับกิจนิมนต์ไว้ว่านิมนต์พระ ๕ องค์ไปฉัน ถ้า ๕ องค์ไปฉันปั๊บ ปกติตามวินัยพระนะ พระจะออกจากวัดไปต้องบอกหัวหน้า ถ้าไม่บอกหัวหน้าเขาเรียกวิกาล ออกจากวัดไป เพราะเวลาพระไปไหนมันมีปัญหาขึ้นมาพระต้องรับรู้ เหมือนกับกรมทหารจะออกจากกรมทหารต้องลา

พระถ้าตามวินัยขอนิสัยแล้ว จะออกจากวัดไปจะไปค้างแรมต้องลาพระหัวหน้า ถ้าไม่ลาเป็นอาบัติ ฉะนั้นถ้าลาปั๊บนิมนต์ไว้ ๕ องค์มันก็ขาดใช่ไหม แต่ถ้าพูดถึงพอได้อานิสงค์ของจำพรรษาไปโดยไม่ต้องบอกลาได้ ถ้ามี ๕ องค์ไปก็ขาดแล้ว นี่ไงกิจนิมนต์ อานิสงค์ของกฐินอานิสงค์ของการจำพรรษา

มันเหมือนกฎหมายมันมีข้อยกเว้น มีเหตุนี้ยกเว้นข้อนั้นเหตุนั้นยกเว้นข้อนี้ แล้วถ้านิมนต์แล้ว แล้วขาดไปแล้วรับกิจนิมนต์ไว้ ไม่ไปเป็นอาบัติไหม เขามานะ ตอนอยู่ข้างในจะมีคนมาลองของเยอะมาก แล้วมาเลยมาจากฝ่ายปกครองบอกว่าอยู่ไม่ได้ไม่มีโบสถ์ พระที่นี่อยู่ไม่ได้ไม่มีโบสถ์ เราถามกลับเลยโบสถ์หมายความว่าอะไร โบสถ์มีกี่ชนิดตอบไม่ได้

โบสถ์มี ๔ ชนิด วิสุงคามสีมา คูหาสีมา กุฏกะสีมา คามสีมา วิสุงคามวัดโบสถ์ในป่าไงห่างจากบ้าน ๕๐๐ ชั่วธนู ธนูวัดไป ๕๐๐ ธนู ห่างจากนั้นแล้วให้สมมุติขึ้นมาเป็นคามสีมาได้เลย แล้วถ้าไม่มีสีมาลงอุโบสถอย่างไร แล้วทำอุโบสถอย่างไร ความศึกษากันมาด้วนๆ ไง แล้วก็จะบอกว่า ถ้าพระไม่มีโบสถ์เป็นวัดไม่ได้ พระอยู่ไม่ได้ ธรรมวินัยเป็นอันหนึ่งนะ เราอยู่กันเป็นประเพณีจนประเพณีเชื่อถือกันไปก็เป็นอันหนึ่ง

พูดถึงเราชาวพุทธจริงๆ เข้าไม่ถึงศาสนาเลย เป็นประเพณีแล้วก็ห่างไปเรื่อยๆ เห็นไหมย้อนกลับมาเมื่อกี้นี้ที่เขาจะเอาหนังสือมา เขาบอกโลกเป็นใหญ่ โลกเป็นใหญ่คือเป็นประเพณีวัฒนธรรม แล้วพวกเราชาวพุทธอยู่กับประเพณีมา เห็นพระทำตามๆ กันมาแล้วถ้าเห็นพระทำอะไรก็ถูกหมดเลย

แล้วมีพระองค์ไหนที่ทำผิดจากนั้นไปพระองค์นั้นผิด ทั้งที่พระองค์นั้นทำตามธรรมวินัยนะ แต่เราทำตามประเพณีกัน ประเพณีมันทำให้เราห่างจากศาสนากลายเป็นอ้อนวอนเจ้า เจ้าไปถึงไปเจ้าเข้าทรงนะ ไปขอปั๊บนะ เขาก็พรมน้ำมนต์ให้ เป่าพรวดให้นะน้ำลายเต็มหัวเลย กลับบ้านสบายใจ โอ้โฮ สุขมากมันเป็นการครอบงำพักหนึ่งเดี๋ยวมันก็ทุกข์อีก เราไปเชื่อกันอย่างนั้นไง เราเลยไม่เข้าใจธรรมและวินัย

ฉะนั้นย้อนกลับมาตรงนี้ตรงที่เมื่อกี้บอกว่า ต้องกรวดน้ำไหม การกรวดน้ำนี่นะศาสนาความจริงนะคนเราเข้ามาเห็นไหม มันมีตั้งแต่ผู้ใหญ่จนมาถึงเด็ก เด็กเข้ามาเมื่อกี้เห็นไหมมันก็เล่นสนุกเป็นธรรมดาของมัน พอไปวัดไปวาถ้ามันเข้ามาเราต้องสอนมัน เราต้องบอกมันให้มันเข้าใจใช่ไหม

เหมือนกัน จิตใจพวกเราเข้าวัดใหม่ๆ จิตใจเด็กๆ เวลาจะทำบุญ เงอะๆ งะๆ เคอะๆ เขินๆ เขาบอกทำอย่างไรจะได้บุญเยอะๆ จะเอาตรงนั้น ยิ่งอยากได้บุญเยอะๆ มันกลับได้บุญน้อย อยากได้บุญโดยธรรมชาติทำดีเพื่อดีจะได้บุญมาก เขาดูที่เจตนาไง อยากได้บุญเยอะๆ คือติด ติดในบุญ พอไปติดในบุญต้องทำให้ได้ตามนั้น

ถ้าติดในบุญนะ เวลาเราประเคนของกัน อย่างนี้เขาว่าไม่ได้บุญแล้ว เพราะอะไรรู้ไหม เพราะไม่ได้ถวายทาน ต้องไปถวายทานเป็นสังฆทาน ก็ต้องเอาอาหารมาเรียงให้เต็มศาลานี้เลยนะแล้วก็นั่งปัดแมลงวันกัน เสร็จแล้วก็หัวหน้าขึ้นเลยนะโมตัสสะ กล่าวคำถวายทานไง แล้วไข่นะ แมลงวันก็ไข่ในนั้น พอมันฟักเป็นตัวเลยนะ มันบินขึ้นมานะยังถวายทานไม่เสร็จ

พูดถึงประเพณีไง ถ้าจะเอาบุญกันเยอะๆ ติดไง แต่พอมาอย่างนี้ปั๊บ เรามาถึงเราประเคนเลยประเคนนี่ได้บุญตรงไหน ได้บุญเรื่องเจตนาที่โยมอยากทำบุญอันนั้นบุญเกิดตรงนั้น พอเจตนาเรา เวลาเป็นบุญขึ้นมาแล้ว ไอ้การกระทำนี่นะ โทษนะ เขาใช้คำนี้จริงๆ เขาเอาไว้หลอกเด็ก ไอ้สังฆทานไอ้ถวายทานทุกอย่างเขาเอาไว้หลอกเด็กหมดนะ

เด็กๆ มันไม่มีรูปแบบ ไม่มีจุดยืน เอาสิ่งนี้เอาไว้หลอกเด็กๆ กัน ให้เด็กๆ มันหัดทำหัดฝึก แต่เราเป็นผู้ใหญ่แล้วเราไม่ติดในรูปแบบไม่จำเป็น แล้วได้บุญมากตรงไหน บุญอยู่ที่เจตนานั้น ไอ้นั่นถวายทานนะ ถวายทานนะไอ้นี่ก็นั่งพัดแมลงวันนะ ไอ้นั่นก็คอยดูอาหารนะ ไอ้นั่นก็ไปวิ่งเล่นกันอยู่นะ พระก็เป็นไอ้ตรายางไง ถึงเวลาก็สาธุ โอ้โฮ ได้บุญเยอะ

ประเพณีคิดกันไปเห็นไหมติดบุญ ถ้าติดบุญแล้วมันจะได้บุญน้อย ได้บุญน้อยเราทำกันสักแต่ว่าทำ เอามาถึงแล้วนะ เขียนเป็นประเพณีวัฒนธรรมไว้ แล้วต้องทำให้เป็นแบบนั้น ตามขั้นตอนไง เอาอาหารมาก็มากองกันให้เต็มไปเลยนะ แล้วไอ้นั่นก็ไปเล่นกันนะไปคุยสุมหัวกันนะ นินทากาเลนะ มีเรื่องอะไรก็ขุดมาคุยกัน ๕ ปีไม่จบนะ ไอ้นั่นก็ถวายทานไปนะ ไอ้นั่นก็ได้บุญเต็มที่เลย อยากได้บุญ จะได้บุญเยอะ บุญเยอะๆ

แต่พอมาที่นี่ต่างคนต่างมีอาหาร ต่างคนต่างสงบรักษาจิตของตัว เห็นไหมเราตั้งสติรักษาจิตแล้วถึงเวลาเราก็ถวายครูบาอาจารย์ไป ท่านก็ทำปฏิคาหก ผู้ให้ด้วยความบริสุทธิ์ ผู้รับก็รับด้วยความบริสุทธิ์ ตักใส่บาตรเป็นภัตกิจ เป็นอาหารของตัว แล้วให้พร แล้วรักษาใจเราตั้งแต่เริ่มต้น

นี่ไงถ้ามันไปติดนะพอไปติดบุญแล้วนะมันพัฒนาไม่ได้ แล้วการกรวดน้ำหลอกเด็ก ถ้าการกรวดน้ำเป็นบุญนะ แม่น้ำเจ้าพระยา แม่น้ำแม่กลองมันได้บุญมากที่สุดในประเทศไทย มันไหลทั้งวันทั้งคืน มันไหลมาตั้งแต่ดึกดำบรรพ์ แล้วจะไหลไปในอนาคต มันกรวดน้ำในธรรมชาติของมันตลอดเวลา

มันกรวดน้ำจริงหรือเปล่า ไม่ได้กรวด ไม่ได้กรวดเพราะอะไร ไม่ได้กรวดเพราะมันไม่มีชีวิต สิ่งที่จะกรวดน้ำต้องเกิดจากจิต จิตของเราได้สร้างบุญกุศล จิตของเราเป็นผู้ที่จะส่งบุญกุศลนั้นให้กับเจ้ากรรมนายเวร ฉะนั้นจิตของเราอ่อนแอ จิตของเราเร่ร่อน จิตของเราไม่มั่นคง เขาถึงเอาน้ำมาให้จิตเพ่งที่น้ำนั้น ให้จิตเพ่งที่น้ำนั้น!

ถ้าจิตเพ่งที่น้ำนั้นจิตมันจะเป็นองค์ประกอบ เป็นจิตขึ้นมาเป็นรูปธรรมขึ้นมา แล้วให้รูปธรรมที่มั่นคงนั้น อุทิศส่วนกุศลออกไปให้กับเจ้ากรรมนายเวร นี่เป็นอุบายของพระพุทธเจ้าวางไว้หลอกเด็กเพราะเด็กจิตใจมันอ่อนแอ จิตใจมันไม่รู้จักตัวของมันเองมันต้องอาศัยสิ่งที่เป็นรูปธรรมที่เกาะเกี่ยวไง เหมือนพุทโธเรา เห็นไหม

แต่ถ้าเราเป็นลูกศิษย์วัดป่าเรารู้จิต รู้จักจิต รู้จักรักษาสติ รู้จักเห็นไหมเราจะถวาย เราตั้งใจเรามีสติมาแล้ว ถ้าพอเราถวายครูบาอาจารย์ไปแล้ว ด้วยจิตที่มันมั่นคงเราอุทิศอันนี้ไป เนื้อๆ เนื้อๆ เนื้อหาสาระมันอยู่ที่ความรู้สึกอยู่ที่จิต ศาสนาพุทธเป็นศาสนาของหัวใจ ไม่ใช่ศาสนาของน้ำ ไม่ใช่ศาสนาอยู่ข้างนอก แต่อาศัยสอนเด็กๆ สอนที่จิตมันโลเล จิตที่ไม่มั่นคง

เอาน้ำนี้มาเป็นตัวตั้ง แล้วน้ำนั้นมันจะมีคุณประโยชน์ได้อย่างไร ถ้าน้ำนี้เป็นตัวตั้งนะ โอ้โฮ เราไปที่แม่น้ำนะ แม่น้ำมันไหลทั้งวันทั้งคืนเลย ถ้าเราเข้าใจเห็นไหม ใจมันจะพัฒนาขึ้นไปเห็นไหม พอจิตมันพัฒนาขึ้นมาแล้วกรวดน้ำใจ ไม่ใช่กรวดน้ำที่น้ำเป็นน้ำที่เอามาหลั่งกัน อันนั้นมันเป็นพิธีกรรมไง เราจะบอกว่าไม่มีเลยเวลาเป็นพิธีกรรมเวลาเราทำให้ถูกต้องตามพิธีกรรมเราก็ต้องทำ

แต่ในเมื่อจิตของเรา เราต้องการความสงบแล้วจิตของเรา เราเข้าถึงเนื้อหาสาระ เราเอาเนื้อหาสาระเราไม่เอารูปแบบไง เราเอาเนื้อหาสาระกัน ถ้าเราเอาเนื้อหาสาระกัน จิตของเราเห็นไหมเราตั้งแล้ว พอเราเอาเนื้อหาสาระจิตเราโตขึ้นมานะ เรามองกลับไปที่เขาทำกันสิ

โทษนะ เมื่อก่อนเราก็เป็นอย่างนั้น เมื่อก่อนเราก็ต้องวิ่งหาน้ำมา พอพระจะให้พรหาน้ำกันมา โอ๊ย จะไปทะเลาะกันเรื่องน้ำ จะทำบุญนะจะต้องไปทะเลาะกันก่อน ว่าฉันขอน้ำก่อน เอาน้ำของฉันเดี๋ยวฉันไม่ทันเห็นไหม จะต้องไปทะเลาะกันก่อนแล้วค่อยมากรวดน้ำ

แต่ถ้าจิตของเราเป็นธรรมเห็นไหมเราไม่ต้องทะเลาะกับใคร เพราะหัวใจมันอยู่กับเรา ความรู้สึกมันอยู่กับเรา จะกรวดที่ไหนกรวดเมื่อไหร่กรวดได้ทั้งนั้นเลย นี่ศาสนาพุทธสอนให้เรียบง่ายสอนให้ความเป็นจริงนะ แล้วเพียงแต่เราเข้ากันไม่ถึง เราเข้ากันไม่ถึงแล้วเราจับต้องไม่ได้ ถ้าเราเข้าถึงแล้วเราจับต้องได้นะเราจะซึ้งมากเลย

แต่มันก็เป็นเปลือก กะพี้ และแก่น เห็นไหม จิตของคนมันต้องพัฒนามาอย่างนี้ ถ้าเราศึกษานะศึกษามันก็ไม่ค่อยซึ้งใจนะ ดูอย่างพระป่าเรา โทษนะ เขาคิดกันว่าพระป่าไม่มีการศึกษา คือไม่ได้เรียนธรรมวินัยจะไม่มีความเข้าใจ แต่เขาไม่คิดเหมือนเรา

เราคิดนะการศึกษามายิ่งศึกษายิ่งงง เพราะเราเองเราเคยศึกษามาก่อนอย่างบุพพสิกขาเราอ่านมาเยอะแยะเลย ยิ่งอ่านยิ่งงงมันตีความไม่ออก แล้วตอนนี้เราก็เอาความรู้สึกเรามาเทียบกับพระใหม่ พระใหม่เวลาเขาศึกษาเขาอ่านหนังสือเขายิ่งงงทั้งนั้น แต่พอมาถามเรา เราเคลียให้เขาอึ้กเลย แต่สมัยเรา เราอยู่กับครูบาอาจารย์ไง

หลวงตาท่านสอนด้วยการปฏิบัติ ถ้าผิดนะผลัวะๆ มันจำดี มันจำดีกว่าหนังสือหลายเท่า หนังสืออ่านผิดอ่านถูกเรายังตีความมานั่งคิดอยู่นะ แต่เวลาไปหาท่าน ท่านผลัวะมามันจำแม่น มันจำแม่นมาก แล้วมันผิดถูกมันรู้ มันรู้หมดเลยนะ ท่านทำอย่างไรใช่ไหม พอท่านทำปั๊บ

อย่างเมื่อก่อนเราสงสัยมาก ตอนอยู่กับท่าน เพราะรองเท้าเวลาไปถวายท่าน ท่านจะให้เสริม แล้วเราก็แปลกใจว่าทำไมท่านต้องเสริมรองเท้าหนัง แต่อย่างที่พูดเมื่อกี้นี้ที่ว่าพระโสณะขอมา เวลาปัญจวัคคีย์ทำนะรองเท้าปกติใช่ไหมเขาก็เล่นอย่างโน้นเล่นอย่างนี้ไง แล้วก็ห้ามๆๆๆ

ข้อห้ามนะคือกฎหมายก็ห้ามหมดเลย ฉะนั้นเวลาพระโสณะมาขอ ขอว่าขอให้ใส่รองเท้าหลายชั้นได้ พระพุทธเจ้าก็อนุโลมหลายชั้น แต่เวลาท่านห้ามท่านห้ามรองเท้า ๒ ชั้น ๓ ชั้น ๔ ชั้น ทีนี้พอ ๓ ชั้น ๔ ชั้นท่านอนุโลม

แต่ ๒ ชั้น เหมือนพระพุทธเจ้ายังไม่ได้อนุญาต หลวงตาท่านไม่ยอมใช้นะ เอ๊ะ เราก็ว่าไอ้นี่มันมาจากไหน เวลาหลวงตาทำอะไร เราจะไปเปิดดูพระไตรปิฎกแล้วมาค้นคว้าทั้งๆ ที่เราก็เชื่อนั่นแหละ แต่เชื่อนี่มันเหมือนแบบว่าเราฟังกันมาเห็นไหม มันไม่มีเอกสารรองรับ

พอเราทำมาเราก็เชื่อ แต่อยากรู้ว่ามันอยู่ตรงไหน มันอยู่ตรงไหนของพระไตรปิฎก มันอยู่ตรงไหน ห้ามไว้เมื่อไหร่ เรานี่จะไปค้นเลยนะ เราค้นเลย แล้วพอมันตรงมันก็เพี้ยะอย่างพูดเมื่อกี้ แต่พอเวลาเราไปศึกษากันเองเราไปอ่านนะ เฮ้ย งง งงกับงง มันเหมือนกับว่าการศึกษาโดยการปฏิบัติมันแรงมากแล้วมันโดนเดี๋ยวนั้นๆ เลย แล้วมันเข้าใจหมด แล้วมันเข้าใจไม่เข้าใจธรรมดานะ

เหมือนเรา เห็นไหมเราพูดถึงเขาเลี้ยงแกะ เขาต้อนแกะ เวลาแกะมันหลงฝูงนะเขาจับแกะหักขาเลยแล้วปล่อยมันเข้าฝูงแล้วรักษามัน มันจำแม่นมันไม่หลงอีกเลย เวลาคนเลี้ยงแกะเขาทำอย่างนั้น เวลาพระป่าเราผิดโดนอย่างนั้น ผลัวะๆ หงายท้องเลยแหละ กลางศาลา เล่นกลางศาลาเลย ประจานคนนี่เต็มๆ เลย จำแม่นๆ แล้วซึ้งมาก

นี่ถ้าเป็นอย่างนี้มันก็เหมือนการศึกษาแบบเซน ซึ่งๆ หน้าเอาเดี๋ยวนั้น เอาต่อเมื่อผิดเดี๋ยวนั้นแล้วสั่งสอนเดี๋ยวนั้น รับรู้เดี๋ยวนั้น นี่การปฏิบัติของพระป่า แต่เขาบอกว่าพระป่านี่ไม่ได้มีการศึกษา แต่เราเปรียบเทียบเราก็อยู่ในวงการพระป่านะ ถ้าพูดอย่างนี้ไปก็เหมือนกับเราลำเอียงเราจะบอกว่าทางฝ่ายพระป่านี่ถูกต้องไปหมด ไม่ใช่

แต่การศึกษาที่มันซึ้งใจกว่ามันกินใจ แต่พระป่าผิดก็เยอะ มันมีโยมอยู่คนหนึ่งเราฟังหลวงตาท่านเทศน์ มีโยมอยู่คนหนึ่งเขาศึกษาธรรมะเขาเคารพศรัทธาในสายหลวงปู่มั่นมาก ท่านก็ไปหาหลวงตาไปกราบเคารพ

“อื้อหือ หนูนี่ศรัทธามากนะ สายพระป่าสายหลวงปู่มั่นต้องปฏิบัติดีต้องปฏิบัติชอบ”

ท่านพูดนะ ท่านพูดท่านตอบนะเราฟังแล้วซึ้งมาก ท่านพูดว่า

“เรามั่นใจว่าในสังคมใดก็แล้วแต่ มีทั้งคนดีและคนชั่วอยู่รวมกัน ไม่มีสังคมไหนดีหมดและชั่วหมด ในสังคมของหลวงปู่มั่นก็มีพระที่ปฏิบัติผิดอยู่ก็มี”

โอ้โฮ เราฟังนะเราไม่ได้ถามเองโยมเขาถามนะ เราฟังแล้วสะอึกเลย โอ๊ย ถ้าเป็นเรานะเราศรัทธาสายหลวงปู่มั่นมากนะมาหาเรา จริงสิ หลวงปู่มั่นต้องดีสิ สายหลวงปู่มั่นต้องยอดหมดเลย ท่านไม่พูดอย่างนั้นเลย ท่านพูดกลับเลย ท่านบอกในสังคมทุกสังคมจะมีคนดีและคนไม่ดีอยู่ปนกัน

แล้วเราก็มาพิจารณาข้อประเด็นนี้ เรามานั่งเดินจงกรมของเรานะเราซึ้งมาก สมมุติว่าเราเป็นคนที่ศรัทธาใหม่เรากำลังเชื่อมั่นในสายของหลวงปู่มั่นมาก เราศรัทธามาก ทีนี้พอเราเข้าไปเกิดถ้าเราไปเจอพระที่ปฏิบัติไม่ตรงตามธรรมวินัยเราจะเสียใจแค่ไหน

แต่ท่านพูดบอกไว้ก่อนทำให้เราแบ่งใจไว้ เราเผื่อใจเราไว้ได้แล้ว เพราะเอออาจจะมีดีและไม่ดีปนกัน ถ้าเราเจอไม่ดี สายหลวงปู่มั่นก็ไม่ใช่ไม่ดีทั้งหมด มันก็สายหลวงปู่มั่นเราก็เคารพ เราก็เคารพอยู่แล้วใช่ไหม แต่สิ่งที่ไม่ดีมันก็มีปนกันมา เหรียญมี ๒ ด้านทั้งหมด แหมเวลาท่านตอบปัญหานี้นะ เราจำแม่นเลยนะ

มันหลายชั้น มันหลายชั้นหมายถึงว่าถนอมไว้ทั้งพระด้วย รักษาพระไว้ด้วย พระมันก็มีการผิดพลาดเป็นธรรมดา รักษาทั้งคนศรัทธาด้วย ถ้าเอ็งไปเจอสิ่งที่ผิดพลาด มันจะมีสิ่งที่ผิดพลาดบ้างถูกต้องบ้างเองก็จะได้ไม่เสียใจ คือไม่ให้เราแบบว่าเขาเรียกว่าว่าวเชือกขาด นกปีกหักไง เวลาศรัทธาก็ โอ้โฮ เต็มหัวใจเลย เวลาเสียใจก็วูบลงหมดเลย

เราก็จะเสียคน เรามันเจอดีเราก็ชื่นใจ เจอสิ่งที่ไม่ดีเราก็ประคองใจเราได้ เรามาคิดถึงคำตอบของท่านโอ๊ยเหตุผลนะแล้วมันล้อมไปหมดเลยนะ ท่านไม่สุดโต่งไปทางใดทางหนึ่ง ท่านบอกไว้ถึงให้เราเตรียมใจไว้เลย เจอดีก็ได้ เจอความผิดพลาด เจอความเสียหายก็ได้

เวลาคนศรัทธามันศรัทธาขนาดนั้นนะ นี่พูดถึงในวงปฏิบัติ ในสังคมมันต้องเป็นอย่างนั้นอยู่ธรรมดา นี่พูดถึงศาสนาในการปูพื้นแล้วนาๆ จิตตัง ใจของเราเองมันเป็นอย่างนี้แล้วมันพัฒนามา จากที่มันขัดแย้งมาจากไม่เชื่อเลยนะ มันเป็นเรื่องจริงเราเองโดนมาทั้งตัว ไม่มี พระไม่มีหรอกเพื่อนๆ มันไม่ได้บวช

พระไม่มี มีแต่คนหัวโล้นห่มผ้าเหลืองไม่มีพระ เออฟังก็จริงของมันนะ พระก็มาจากมนุษย์ หัวโล้นห่มผ้าเหลืองไม่ใช่พระก็คิดประสาเขา แต่เวลาเรามาบวชพระสิ พอเรามาบวชพระแล้วมันจริงตามสมมุติไง

ถ้าพูดถึงเราไม่ใช่พระนะเราบวชโดยตัวเราเองนะตำรวจจับได้เลย แต่งกายเลียนแบบสงฆ์ แต่ถ้าเราบวชนะมันจริงตามสมมุติก็ต้องมีอุปัชฌาย์ อุปัชฌาย์ต้องบวชขึ้นมาให้ มันเป็นพระตามสมมุติจริง แต่ถ้าเขาปฏิบัติไปจนถึงที่สุดล่ะ จิตใจเขาเป็นพระจริงขึ้นมาล่ะ แล้วมีใครวัดตรงนี้ได้

นี่พอเวลาพูดอย่างนั้นปั๊บเราก็เชื่อไง พระไม่เห็นพระเลย ยิ่งพูดนะ ไหว้พระก็โดนลูกชาวบ้าน ชาวบ้านนี่ มันเกินไป ลูกชาวบ้านกูก็สึกไปแล้วถึงเป็นลูกชาวบ้านโว้ย กูไปบวชพระอยู่ เป็นลูกชาวบ้านได้ไง กูลูกพระพุทธเจ้าโว้ย ศากยบุตรไง

เวลากิเลสมันพูด มันก็พากันแถไป แล้วมันพูดกัน มันฟังแล้วมันเชื่อนะ อะไรมันพูดที่มันมีเหตุผลนะเราจะเชื่อไปหมดเลย กิเลสมันพาไป เราเลยโตขึ้นมาไม่ได้เราเลยแบ่งอะไรไม่ถูกไง ศากยบุตรพุทธชิโนรสเป็นลูกขององค์สมเด็จสัมมาสัมพุทธเจ้า

ทีนี้ศึกษาศาสนา ศาสนามันก็ต้องศึกษามาตั้งแต่พื้นฐาน แล้วก็ย้อนกลับไปที่พวกเราก่อนจิตใจ จิตใจคนที่มาวัด จิตใจเขาหลากหลายขนาดไหน ถ้าจิตใจเขาสูงขึ้นมาเห็นไหมเขาพัฒนาขึ้นมา พอพัฒนาขึ้นมานะ โอ้โฮ เขาเคารพบูชานะเขาเรียกใจมันลง ใจมันลงนี่ โอ้โฮ อาจารย์นี่เทิดไท้นะ พ่อแม่ครูอาจารย์

พ่อแม่เลี้ยงได้แต่ร่างกายหัวใจเลี้ยงไม่ได้ แต่ถ้าเป็นครูบาอาจารย์นะ “พ่อแม่ครูอาจารย์” พ่อแม่ก็เลี้ยงเห็นไหมอาหารการกินเลี้ยงทุกอย่างดูแลให้หมดปัจจัย ๔ ครูบาอาจารย์ก็เลี้ยงหัวใจมันไง หัวใจนะคิดอย่างไร หัวใจควรจะพัฒนาอย่างไร หัวใจควรจะดีขึ้นไหม แล้วหัวใจมันสิ้นกิเลสหัวใจมันสุดยอดของใจ “นี่พ่อแม่ครูอาจารย์”

แต่ทางโลกนี้มีแต่พ่อกับแม่ อาจารย์ต้องไปหาที่โรงเรียน อยู่บ้านมีแต่พ่อแม่ไม่มีอาจารย์ แต่อาจารย์นี่พ่อแม่ครูอาจารย์หายาก หายากมากๆ

ถาม : มีคนนั่งในพระอาทิตย์แล้วภาวนาอย่างไรคะจึงจะข้ามพ้นภพชาติได้?

หลวงพ่อ : มันก็ได้พระอาทิตย์เป็นภพไง นั่งในพระอาทิตย์มันก็ได้พระอาทิตย์เป็นภพ พูดถึงโดยธรรมชาติโดยวิทยาศาสตร์ สสารสิ่งใดเข้าไปถึงอยู่ในพระอาทิตย์ได้ไหม พระอาทิตย์ไหม้ละลายหมด เป็นไปไม่ได้ แล้วเราจะไปนั่งอยู่ในพระอาทิตย์ได้อย่างไร มันเป็นไปไม่ได้ แต่ที่มันเป็นอยู่นี่มันเป็นเพราะอะไร เป็นเพราะเป็นนิมิต นิมิตมาเป็นพระอาทิตย์ แล้วเราไปนั่งอยู่กลางพระอาทิตย์ แล้วได้อะไรก็ได้นิมิตไง

แต่ถ้าเป็นข้อเท็จจริงมีสิ่งใดจะเข้าไปใกล้พระอาทิตย์ได้ละลายหมดมึงเข้าไปเถอะละลายเกลี้ยงเลย นี่พูดถึงความเป็นข้อเท็จจริง แต่การปฏิบัติมันเป็นอีกคนละเรื่องนะ ถ้าการปฏิบัติโดยฤทธิ์นี่นะ พระอาทิตย์ พระในพระไตรปิฎกเห็นไหม พระที่ว่าไปปิดหมดเลย เอามือนี่ลูบได้เลยลูบเล่นได้เลย แต่การลูบเล่นนี่นะมันโดยฤทธิ์ของพระอริยเจ้า

เราเคยเราเทศน์ไว้เพราะมันอยู่ในพระไตรปิฎก แล้วลูกศิษย์เอาไปแกะ เขาก็มาหาเราเลย หลวงพ่ออันนี้ขอเอาออกได้ไหม เราบอกว่าพระอาทิตย์มันจะขึ้นมันจะตกได้ ๓ อย่าง อย่างหนึ่งโดยธรรมชาติของมันพระอาทิตย์ขึ้นพระอาทิตย์ตกใช่ไหม อย่าไปสแกนดิเนเวียนะมันไม่ตกเลย พระอาทิตย์ขึ้นพระอาทิตย์ตกโดยธรรมชาติของมันนะ ๒ โดยฤทธิ์ โดยฤทธิ์ที่ว่าเทวดาดึงไว้ พระรถเมรีที่เขาดึงพระอาทิตย์ไว้โดยฤทธิ์ กับโดยธรรมชาติคือเมฆหมอกบัง

ฉะนั้นเวลาเราพูดถึงข้อเท็จจริง แล้วเราเทศน์ไปแล้วลูกศิษย์เขาไปแกะเทป เขากลับมาเลยหลวงพ่อลบทิ้งได้ไหมโดยฤทธิ์ หนูรับไม่ได้ หนูไม่เชื่อเพราะใจมันไม่ลงไง พอใจมันไม่ลงใช่ไหมเราก็ย้อนกลับมาตอนที่พระสารีบุตร

พระสารีบุตรนะเวลาออกไปบิณฑบาตใช่ไหมสามเณร ๗ ขวบ ถือบาตรไปด้วย ถือบาตรพระสารีบุตรคือว่าเป็นปัจฉาสมณะ คือถือบาตร เหมือนครูบาอาจารย์เราออกเราจะประคองบาตรไป

ทีนี้พอไปเห็นเขาชักน้ำเข้านา ถามพระสารีบุตรเลย น้ำมีชีวิตไหม ไม่มี น้ำไม่มีชีวิตเขายังชักเข้านามาทำนาได้ แต่สามเณรมีชีวิตทำไมจะทำประโยชน์ไม่ได้ เดินไปอยู่ๆ เห็นเขาดัดคันศร ถามพระสารีบุตรเลยว่า คันศรมีชีวิตไหม ไม่มี ไม่มีทำไมไม้คดๆ เขาดัดให้มันตรงได้ ใจเราคดใจเราโลเลทำไมเราทำใจให้ตรงไม่ได้

ปัญญามันหมุนแล้ว ปัญญามันหมุนแล้วพอปัญญามันหมุนแล้วธรรมจักร มรรคญาณมันหมุนแล้ว บอกพระสารีบุตร ข้าพเจ้าขอถวายบาตรพระสารีบุตรพระเจ้าค่ะ ข้าพเจ้าจะขอกลับกุฏิ ข้าพเจ้าจะขอกลับไปภาวนา พระสารีบุตรเป็นพระอรหันต์ก็รู้ก็รับบาตร

เณรก็เดินกลับวัดเลย เดินกลับวัดก็เข้าไปในกุฏิ เพราะไปเห็นกระทบไง เหมือนที่หลวงตาบอกว่าพระที่จะไปถามพระพุทธเจ้าจุดต่อมของน้ำ พอเห็นปั๊บมันก็กลับกุฏิ พอกลับกุฏิก็นั่งวิปัสสนาเลย จิตมันหมุน พระสารีบุตรก็ไปบิณฑบาต บิณฑบาตกลับมาก็ฉัน เสร็จแล้วก็คิดถึงเณรจะเอาอาหารนั้นไปให้เณร

จะเอาอาหารไปให้เณรก็เณรเป็นลูกศิษย์ก็รักลูกศิษย์ พระพุทธเจ้ารู้อยู่ว่าสามเณรกำลังวิปัสสนาอยู่ กำลังจะได้เป็นพระอรหันต์ ถ้าพระสารีบุตรเข้าไป เพราะพระสารีบุตรกับพระพุทธเจ้าวุฒิภาวะต่างกัน เป็นพระอรหันต์เหมือนกัน เป็นอัครสาวกเหมือนกัน แต่อนาคตังสญาณไม่เทียบเท่าพระพุทธเจ้า

พระพุทธเจ้าอนาคตังสญาณจิตที่รับรู้อนาคตรับรู้ต่างๆ สุดยอด ก็รู้ว่าสามเณรนี้จะเป็นพระอรหันต์ ถ้าพระสารีบุตรเข้าไปมันจะทำลายโอกาสพระอรหันต์ของสามเณรน้อยนั้น ก็มาดักหน้าพระสารีบุตร มาถามปัญหาไง ถามธรรมะให้พระสารีบุตรตอบ ก็ชวนพระสารีบุตรคุยธรรมะ ถามปัญหาธรรมะให้พระสารีบุตรตอบ

พระสารีบุตรก็ต้องตอบเพราะพระพุทธเจ้าถามอยู่ก็ไม่กล้าออกนอกลู่นอกทางก็ต้องตอบปัญหา ตอบปัญหาไปเรื่อยๆ ตอบปัญหาไปเรื่อยๆ พระพุทธเจ้าก็เล็งญาณ สามเณรสำเร็จหรือยัง สามเณรสำเร็จหรือยัง จิตเหนี่ยวพระอาทิตย์ไว้เลย เหนี่ยวพระอาทิตย์ไว้ พระอาทิตย์ยังไม่ไป พอพระอาทิตย์ยังไม่ไป ก็ยังไม่ให้เพลไง

ก็ถามปัญหาไปเรื่อย สามเณรนั้นก็วิปัสสนาไปเรื่อย พอสามเณรนั้นมรรคญาณทำลายกิเลส พั้บ! เป็นพระอรหันต์นะ พระพุทธเจ้าก็ปล่อยให้พระสารีบุตรเข้าไป พระสารีบุตรก็เอาอาหารไปให้สามเณรน้อยฉัน พอสามเณรน้อยฉันจบปั๊บ พระพุทธเจ้าคลายฤทธิ์พระอาทิตย์ตกไปบ่ายสองโมง

นี่มันข้อเท็จจริงขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระอาทิตย์ถ้าพูดถึงโดยฤทธิ์โดยความเป็นจริงอันนั้นเป็นอย่างนั้น แต่อันนี้เราเข้าไปนั่งอยู่ในดวงอาทิตย์อะไรอย่างนี้มันเป็นนิมิต ถ้าเป็นนิมิตนะ เพราะการเป็นมันเป็นได้หลายอย่างมาก

แต่ถ้าโดยความเป็นจริงที่เราจะไปนั่งอยู่กลางพระอาทิตย์ เป็นไปไม่ได้ แต่ถ้าเราสร้างเป็นดวงขึ้นมาแล้วเราไปนั่งอยู่กลางดวงนั้นไอ้นี่เป็นแค่นิมิต แล้วนิมิตอย่างนี้มันแบบว่ามันไม่.. นิมิตเกิดขึ้นได้อย่างไร นิมิตขึ้นมา เกิดจิตเห็นนิมิตโยมมองเห็นเราไหม

โยมหลับตาสิเห็นเราไหมไม่เห็นเลย ไม่มีจิตจะไม่มีภาพ เพราะจิตนี้เป็นผู้เห็นภาพ ถ้าจิตนี้เป็นผู้เห็นภาพเห็นไหมที่บอกติดนิมิต ติดนิมิต นิมิตมีเยอะแยะ มีหลายอย่างมาก แล้วมีนิมิตเห็นได้ร้อยแปดพันเก้าเลย

ถ้าครูบาอาจารย์ไม่รู้จักไม่เป็นนะจะไม่เข้าใจเรื่องอย่างนี้เลย แต่ถ้าเป็นเข้าใจนะ นิมิตมันจะเกิดนิมิต คำว่านิมิตนะ มันเป็นบางทีมันเป็นความเห็นนะ จิตมันจะเห็นนิมิตได้ เหมือนรถ รถถ้ารถจอดอยู่เฉยๆ รถทุกอย่างจะนิ่งอยู่หมด ถ้าล้อรถขยับไมล์ของรถมันก็ต้องขยับ

จิตถ้ามันเปลี่ยนจากปกติ ปกติปุถุชนจิตของเราปุถุชนเป็นสัญชาตญาณ เป็นสถานะ สถานะของมนุษย์ เราเกิดเป็นมนุษย์เรามีกายกับจิต จิตนี่มันเป็นสถานะของมนุษย์ มันเป็นเรื่องของปุถุชน เป็นเรื่องของธรรมชาติเรื่องของสัจจะความจริง

แต่เราพุทโธๆๆๆ หรือเรากำหนด การภาวนาจิตมันเปลี่ยน มันละเอียดกว่าปกตินี้ ละเอียดลงไปจะเป็นปกตินี้เห็นไหม ถ้าละเอียดเป็นปกตินี้พอจิตมันลงไป ถ้าจิตมันมีอำนาจวาสนามันจะเห็นของมัน เห็นของมัน! การเห็นนั้นเห็นจากจิต เพราะการเห็นพอจิตมันลงจิตมันละเอียดเข้าไป ที่ว่าพอจิตละเอียดเข้าไปเห็นไหม

เหมือนล้อรถมันหมุนใช่ไหม เข็มไมล์หมุนไง เข็มไมล์กระดิก ทีนี้พอเข็มไมล์มันหมุนเข็มไมล์มันขยับ เราเหยียบรถ ๑๕๐ ๑๘๐ ๒๐๐ ก็แล้วแต่ เราเหยียบรถเราวิ่งเต็มที่เลย แต่เราปรารถนาว่าเราจะถึงเป้าหมาย เราขับรถไปเพื่อให้ถึงเป้าหมายนั้นนิมิตไม่เกี่ยว จิตถ้ามันสงบนะถ้ามันมีพลังงานรถวิ่ง ๑๐๐ กว่า พลังงานถ้ามันชนสิ่งใดแหลกไหม

จิตที่เป็นสมาธิ จิตที่มีกำลังมันเหมือนกับรถที่มีกำลังมาก มันสามารถขับเคลื่อนให้จิตไปสู่พระอรหันต์ได้เลย แต่มันอยู่ที่คนขับรถ คนขับรถนะขับรถเป็นไหม ถ้าคนขับรถไม่เป็นนะมันเหยียบหมุนเต็มที่เหมือนกับทดสอบรถเห็นไหม ล้อมันหมุนระยะมันไปแต่รถไม่เคลื่อนที่เลย โอ้ เรื่องวิปัสสนามันยังอีกเยอะ

ฉะนั้นถึงบอกว่าสิ่งที่มันเห็นนิมิตมันเห็นด้วยอะไร เห็นด้วยสิ่งใด แล้วถ้าบอกว่ามันไปนั่งอยู่ในดวงอาทิตย์ ที่พูดอย่างนี้นะเราจะพูดแบบว่าให้มันกระจ่างไง ให้มันรอบด้าน ถ้าเราอธิบายมุมใดมุมหนึ่ง เดี๋ยวโยมออกจากศาลานี้ไปฟังเราคนเดียวนี่แหละ จะไปนั่งเถียงกันคนละมุม แล้วก็ไปนั่งเถียงกันว่าหลวงพ่อพูดว่าเรื่องอะไร

เวลาเราพูดเราจะพูดให้รอบด้าน เราพยายามพูดอธิบายให้เห็นรอบด้าน ฉะนั้นมันเห็นรอบด้านแล้วมันจะได้จบ ถ้าไม่จบนะเดี๋ยวลงไปจะไปเถียงกัน เถียงว่าท่านพูดว่าเรื่องอย่างนี้ ไอ้นั่นพูดอย่างนี้ เนี่ยที่นั่งในพระอาทิตย์แล้วภาวนาอย่างไรถึงจะละภพได้

การละภพได้เห็นไหมตรงนี้สำคัญ ส่วนใหญ่แล้วพระพุทธเจ้าสอนตรงนี้ สอนการให้ละภพละชาติ แต่ทุกคนที่ละภพละชาติไม่ได้เพราะอะไรรู้ไหม เพราะมันไม่ถึงภพถึงชาติ สิ่งที่ทำกันอยู่ไม่ถึงภพถึงชาติ

ภพคืออะไร ภพคือสมาธิ จิตเป็นสมาธินั่นคือตัวภพ ตัวสมาธิคือตัวภพ เพราะมันเข้ามาสู่จิตเดิมของมัน แต่เราปฏิเสธที่สมาธิกัน ในปัจจุบันไม่ต้องทำสมาธิวิปัสสนาสายตรง ใช้ปัญญาไปเลย ปัญญาอย่างนั้นก็นั่งอยู่ในดวงอาทิตย์นี่ไง คือจิตเห็นนิมิตใช่ไหม ความคิดที่เกิดขึ้นความคิดที่เราคิดอยู่เห็นไหม ความคิดสงบไม่ใช่จิตสงบ

ถ้าความคิดสงบไม่เข้าถึงตัวจิต ไม่เข้าถึงตัวภพ เพราะเป็นความคิดสงบ ถ้าความคิดมันสงบนะความคิดคิดขึ้นมาแล้วความคิดสงบไปแล้วตัวจิตได้อะไรก็ไม่ได้สงบอะไรเลย เหมือนเรานอนหลับกับตื่นนี่แหละ เราตื่นขึ้นมาเราก็รู้สึกตัวตลอด เราหลับจิตก็รู้สึกตัวตลอดแต่จิตมันหลับ

นี่ก็เหมือนกันถ้าความคิดเกิดดับมันไปสงบที่ความคิด ความคิดสงบตัวลงไม่ใช่สมาธินะ ไม่ใช่ สมาธินะมันคิดไม่ได้ มันนึกไม่ได้ มันเป็นสมาธิ เออะ! แต่นี่ความคิดสงบลงเรายังร่อนอยู่เลย แต่สมาธิกูสงบลง โอ้โฮ กูว่าง กูสบาย กูยังเร่ร่อนอยู่เลยแล้วบอกว่ามันสงบ เข้าไม่ถึงภพ นี่ไงจะละภพละชาติ

ละภพละชาติต้องทำความสงบเข้ามาก่อน เราพูดบ่อยมากหลวงปู่มั่นครูบาอาจารย์เราบอกต้องทำให้จิตสงบก่อน ถ้าจิตไม่สงบความคิดเป็นโลกียปัญญา ความคิดเห็นไหม ความคิดเป็นความคิด ความคิดเกิดดับ แต่ความคิดเกิดดับมันเกิดจากพลังงาน พลังงานคือตัวจิต ตัวจิตนี่คือตัวอวิชชา ความคิดที่เกิดดับมันออกไปจากพลังงานที่เป็นอวิชชา

แต่ถ้าจิตสงบเข้ามามันระงับอวิชชาชั่วคราว มันระงับตัวตนของเราชั่วคราว ระงับชั่วคราวมันถึงเป็นสมาธิ พอระงับชั่วคราวถ้าเราใช้ปัญญามันจะไม่มีกิเลสบวกเห็นไหม มันจะเป็นโลกุตตรปัญญาถ้ามันฝึกปัญญาได้เป็น เพราะอะไร เพราะตัวกิเลสตัวตัณหาความทะยานอยากมันสงบตัวลงชั่วคราว สมาธิถึงเป็นความสงบตัวลง

คำว่าชั่วคราวหมายถึงว่ามันสงบแล้วเดี๋ยวมันก็คลายออกมันไม่คงที่ สมาธิที่คงที่ไม่มี เห็นไหมสมาธิที่คงที่ไม่มี แล้วถ้าเกิดเป็นธรรม เป็นธรรมนะเป็นโสดาบัน เป็นสกิทาคา เป็นอนาคาก็ไม่ใช่สมาธิ ถ้าเป็นสมาธิทำไมพระพุทธเจ้าก่อนที่จะปรินิพพานพระพุทธเจ้ามาเข้าสมาบัติ ปฐมฌาน ทุติยฌาน ตติยฌาน จตุตถฌาณ พระพุทธเจ้ามาเข้าตรงนี้

ฉะนั้นตรงนี้มันถึงไม่ใช่นิพพานไม่ใช่ธรรมะ ธรรมะกับสมาธิไม่ใช่อันเดียวกันคนละอัน สมาธินี่เป็นมรรค เป็นมรรคที่เป็นพื้นฐานที่จะใช้ปัญญาเข้าไปทำลายกิเลส พอทำลายกิเลสแล้วความเป็นจริงอกุปธรรมในจิตนั้นนั่นคือตัวธรรม แต่ตัวสมาธิตัวเป็นมรรคเป็นวิธีการเป็นพลังงานเป็นสิ่งที่จะเข้าไปชำระกิเลส ฉะนั้นต้องทำให้จิตเป็นสมาธิก่อน

หลวงปู่มั่นครูบาอาจารย์บอกว่า ต้องทำให้จิตสงบก่อนเราถึงกำหนดพุทโธก่อน ปัญญาอบรมสมาธิอะไรก็แล้วแต่ จะใช้ปัญญาอย่างไหนก็แล้วแต่เพื่อความสงบเข้ามา อันนี้มันจะเข้าไปถึงตัวภพ ตัวภพคือตัวจิตที่ตั้งมั่น เอกัคคตารมณ์ จิตตั้งมั่นจิตที่เป็นภพนั่นคือสมาธิ แต่เขาบอกเป็นสมาธิเป็นสมาธิอย่างนี้ แล้วเราบอกสมาธิไม่ใช่จิต จิตไม่ใช่สมาธิใช่ไหม

สมาธิมันเป็นพลังงานที่เข้าไปถึงตัวมัน แต่มันคลายได้พอคลายได้ตัวมันยังอยู่เพราะมันคลาย เพราะสมาธิมันเกิดดับเหมือนความคิดเรา ความคิดเราเวลาทุกข์เวลายากมันเกิดขึ้นมาใช่ไหมแล้วเวลาไม่คิดมันอยู่ไหน แล้วถ้าไม่คิดเราตายไปแล้วหรือ ถ้าไม่ตายทำไมจิตอยู่ จิตกับความคิดถึงไม่ใช่อันเดียวกันไง มันจะทำลายภพชาติ

ถ้าไปเห็นเรานั่งอยู่ในดวงอาทิตย์นะ ก็เห็นไง ทำอะไรไม่ได้หรอก ต้องกลับมาที่จิต พอกลับมาที่จิตแล้วจิตสงบแล้วพิจารณากาย เวทนา จิต ธรรม สติปัฏฐาน ๔ นั่นทำลายภพชาติ ทำลายภพชาติไม่ใช่ไปทำลายข้างนอกนะทำลายที่จิตนะ ทำลายที่ตัวภพแล้วเอาอะไรไปทำลายมัน ก็ต้องเอาจิตแก้จิต

เพราะสมาธิเวลามันเกิดจากจิต มีกำลังมีสมาธิแล้วเอาสมาธิย้อนกลับไปชำระล้างจิต จิตนี้ได้กลั่นออกมาจากอริยสัจ ทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค จิตนี้ได้กลั่นออกมาจากอริยสัจ แล้วพอกลั่นออกมาจากอริยสัจนะแล้วเวลาพ้นไปเป็นโสดาบัน สกิทาคา อนาคามีจิตอยู่ แต่เวลาเป็นพระอรหันต์ทำลายจิตหมด อาสเวหิ จิตฺตานิ วิมุจฺจึสูติ อาสวะสิ้นไปทำลายตัวจิตทั้งหมด

พระอรหันต์ถึงไม่มีจิต พระอรหันต์ไม่มีจิต! ถ้าพระอรหันต์มีจิต จิตนั้นเป็นภพ จิตนั้นเป็นอวิชชา หลวงตาถึงบอกพระอรหันต์มีธรรมธาตุ เป็นธรรมเป็นธาตุ ธาตุธรรม ไม่ใช่จิต ไม่ใช่ เพียงแต่ว่ากลอนพาไปเวลาพูดกับเด็กๆ จิตเป็นอย่างนั้นๆๆๆ มันคิดไม่ทันไง แต่ถ้าจะพูดกันทางวิชาการนะจิตไม่มี พระอรหันต์ไม่มีจิต ถ้ามีจิตอยู่ยังเกิดอยู่ ทำลายจิตหมด ฉะนั้นถึงบอกว่าจิตพระอรหันต์เป็นอย่างนั้นๆๆ นะโกหกทั้งเพ โกหกทั้งเพ

ถาม : พระธาตุเส้นผมเป็นอย่างไร

หลวงพ่อ : พระธาตุก็คือพระธาตุ พระธาตุเส้นผมเกสานะ เราได้เกสาของหลวงตาตั้งแต่ปี ๒๔ ปี ๒๔ เราอยู่กับหลวงตา ตอนนั้นเป็นพระธาตุแล้ว ปี ๒๓ ๒๔ เราได้พระธาตุของหลวงตามาตั้งแต่ปี ๒๔ แล้วมันเกาะกันใส เห็นมาตั้งแต่ปี ๒๔ ฉะนั้นมันเป็นมานานแล้ว อย่างเช่นมันมีหมอคณะหนึ่งเราจำชื่อเขาไม่ได้ เขาอยู่ศิริราช เขาเป็นหมอนะเป็นนายแพทย์ เขาบอกเขาไม่เชื่อหรอกว่ากระดูกคนเป็นพระธาตุได้ แต่ต้องเชื่อ

ทีแรกเขาพูดเรายังคิดว่าหมอนี่พูดเล่นลิ้นนะ แต่เขาพูดด้วยข้อเท็จจริงแต่เขาพูดให้มันตรงตัว เขาบอกผมไม่เชื่อเรื่องพระธาตุเลยนะแต่ต้องเชื่อ เพราะผม ๓ คน มาหาเรา ๓ คน ผมเป็นคนผ่าตัดผ่าสะบ้าหัวเข่าของหลวงปู่แหวนเอง แล้วผมผ่าออกมามันเป็นแก้วหมดเลย เขาเป็นคนผ่าเองแล้วเห็นกับตา

ผมไม่เชื่อเรื่องพระธาตุนะแต่ต้องเชื่อ เสียดายเราไม่ได้ถามชื่อเขาไว้ แล้วเขาจดชื่อไว้ให้เลย มาหาเราเกือบ ๒๐ ปีที่แล้วตอนอยู่ข้างใน เพราะว่าลูกศิษย์เรามันเป็นหมอใหญ่ ไม่เป็นอาจารย์หมอ แล้วเขามา เขาชวนกันมา เขาบอกแล้วเขาคุยกับเรา ทีแรกเขาอยากจะชวนมาคุยกับเรานี่แหละ ก็ลองดูว่าเรามีอย่างไรไง

พอพูดจบแล้วเขาพูดคำนี้ออกมา คุยแต่ธรรมะคุยธรรมะกันจนจบแล้วเขาก็บอกว่า ผมเป็นหมอกัน แล้วผมไม่เชื่อหรอกทีแรกว่ากระดูกคนจะเป็นแก้วได้ แต่ผมต้องเชื่อ เราก็ เอ๊ะ หรือว่าไอ้นี่มันเล่นลิ้นอะไรของมันวะ แล้วเขาก็สารภาพเองว่าผมนี่แหละ ๓ คนเลย เป็นคนผ่าตัดสะบ้าหัวเข่าหลวงปู่แหวนเอง แล้วลูกสะบ้าออกมาเป็นแก้ว ผมเลยต้องเชื่อเพราะมันเจอจังๆ ต่อหน้าไง

นี่เราย้อนกลับมาสิ เส้นพระธาตุ พระธาตุเส้นผมเป็นอย่างไร พระธาตุเส้นผมมันก็คือร่างกายของพระอรหันต์นี่แหละ ร่างกายของพระอรหันต์เห็นไหม หลวงตาท่านพูดบ่อย ขิปปาภิญญามันเป็นได้ช้าเพราะมันเป็นพระอรหันต์เร็ว แต่ถ้ามันเริ่มพยายามตั้งแต่พัฒนาการของมันไปมันฟอกไปเรื่อยๆ มันฟอกไปเรื่อยๆ จิตนี้สำคัญมาก มันสำคัญที่จิตเป็นพระอรหันต์นะ พอจิตที่เป็นพระอรหันต์จิตที่ไม่เป็นพระอรหันต์มันอยู่ในร่างกายของธาตุขันธ์นั้น

เวลาเป็นพระอรหันต์ที่มีชีวิตอยู่นะ ภารา หเว ปญฺจกฺขนฺธา ภาระเห็นไหม ธาตุ ๔ ขันธ์ ๕เป็นเศษทิ้งเป็นภาระ จิตเห็นไหมจิตมันเหมือนกับอะไรนะ เหมือนกับดูสิอย่างพวกเรา อย่างเช่นเราเป็นปุถุชน เหมือนโรงหนังเห็นไหม โรงหนังเวลาฉายหนังอยู่คนดูหนังเขาจะ โอ้โฮ ดีอกดีใจไปกับหนังเรื่องนั้นใช่ไหม เวลาร่างกายเราเป็นปุถุชนความคิดเรามันก็เหมือนหนังโรงหนึ่ง เราก็ตื่นเต้นไปกับความคิดจนหมดเลย

แต่พอเป็นพระอรหันต์ปุ๊บ มันทำลายเครื่องฉายหนังทำลายหนังหมดเลย มันก็จะเหลือแต่โรงหนังเห็นไหม โรงหนังเปล่าๆ โรงหนังเปล่าๆ คนจะไปตื่นเต้นอะไร มันไม่มีเนื้อหาสาระอะไรเห็นไหม มันไม่มีจอหนัง มันไม่มีเรื่องให้เราดีใจเสียใจมันก็ว่างตลอดเห็นไหม

พอว่างตลอดโรงหนังเห็นไหมจิตที่อยู่ในโรงหนังมันก็ว่างมันก็ฟอก แล้วโรงหนังคือร่างกายพออายุขัยสิ้นไปเห็นไหมมันเป็นพระธาตุ พระเกสาก็เส้นผมของพระอรหันต์นี่แหละ เส้นผมของพระอรหันต์ที่โกนออกไปแล้วมันเป็นแก้ว ก็นี่พระเกสาก็เท่านั้น แต่ที่มาสิ ที่มามันต้องมาจากที่ว่าจิตเป็นพระอรหันต์จากใจดวงนั้น เพราะเราเห็นมาเยอะ เราเห็นมาเยอะแล้วของครูบาอาจารย์เรา เราถึงว่าพวกเราเกิดมามีวาสนา เราเกิดมานี่นะ

๑. ตำราเขาเขียนไว้อย่างนั้น

๒.พวกเราได้เห็นของจริงไง

พวกเรามันมีครูบาอาจารย์เห็นไหมตั้งแต่หลวงปู่มั่นฝึกมาเยอะมากเลย ลูกศิษย์หลวงปู่มั่นนะ ๓๐ กว่าองค์ หลวงปู่มั่นครูบาอาจารย์ฝึกไว้แล้วเป็นพระอรหันต์ทั้งหมด พอเป็นพระอรหันต์มันแสดงออกทางโลกนะ แสดงออกถึงพระธาตุถึงสิ่งที่เป็นผล แต่หลวงตาท่านบอกว่าในวงกรรมฐาน ในครอบครัวกรรมฐานเขาจะรู้กันอยู่แล้วว่าองค์ไหนใช่ไม่ใช่ไง

ถ้าองค์ไหนใช่มันชัวร์ องค์ไหนใช่ไม่ใช่ มันอยู่ที่ปัญหาที่ตอบมาออกมาจากหัวใจ ถ้าหัวใจพระอรหันต์หัวใจที่เป็นจริงมันมีอะไรบ้าง ข้อมูลสิ่งใดบ้างปิดใจพระอรหันต์ได้ ปิดหัวใจพระอรหันต์ได้ เพราะหัวใจพระอรหันต์ได้ผ่านกระบวนการ ได้ผ่านการชำระล้างมาตลอด มันจะไม่มีข้อมูลอะไรปิดหัวใจพระอรหันต์ได้เลย

ฉะนั้นนี่ มันเป็นที่ตรงนั้นตรงที่ใจพระอรหันต์ พระอรหันต์ที่มีชีวิตอยู่นะ สอุปาทิเสสนิพพาน พระอรหันต์ที่ยังมีชีวิตอยู่จะตอบเรื่องสัจธรรมเรื่องธรรมะพวกเราได้ทุกขั้นตอน ถ้ามันติดหลวงตาพูดบ่อยเห็นไหม

“เดี๋ยวนี้ไม่มีปัญหามาถามเราเลย ก็อยากให้มีปัญหามาถามดูสิสงสัยจะติดไหม”

ท่านจะติดไหม นี่ไงตรงนี้ถ้าถามปัญหาแล้วติด ไม่ใช่! ถ้าใช่กระบวนการของมันต้องจบ พระอรหันต์ถึงต้องกระบวนการของจิตกระบวนการของความรู้สึกหมดเกลี้ยงชำระล้างสะอาดหมด แล้วกระบวนการที่จะทำให้สะอาดมันมีกระบวนการของมัน โสดาบัน สกิทาคา อนาคา พระอรหันต์ กระบวนการของมันทำอย่างไร

ถ้ากระบวนการของมันผิดไม่เอ็งก็กูผิดคนหนึ่ง เพราะอริยสัจมี ๑ เดียว ความจริงไม่มี ๒ ความจริงมีหนึ่งเดียว ฉะนั้นพูดไปเถอะถ้ารู้จริงพูดความจริงไป ความจริงเป็นสิ่งที่ไม่ตายและไม่มีใครเคลื่อนความจริงนั้นให้เป็นอื่นไปได้ ความจริงที่พระอรหันต์พูดออกไปไม่มีใครสามารถเคลื่อนความจริงนั้นให้เป็นอื่นได้

นี่ไงที่ว่าพระพุทธเจ้าเทศน์ธรรมจักรเห็นไหม เทวดาส่งข่าวขึ้นไป ขึ้นไป จักรที่ได้เคลื่อนแล้วไม่มีใครเคลื่อนกลับได้ ความจริงที่พระพุทธเจ้าเทศน์ออกไปแล้วธรรมจักรไม่มีใครเคลื่อนกลับได้ ไม่มี พูดถึงมันเป็นพระอรหันต์เพราะเหตุนี้ เกสาถึงเป็นพระธาตุไง

ถ้าเกสาใครเป็นพระธาตุได้ร้านตัดผมไปขนเอาเลย ร้านตัดผมเขาโยนทิ้งด้วย มันต้องเกิดที่ในใจของพระอรหันต์ ในธาตุขันธ์ใจพระอรหันต์อยู่ในร่างกายนั้นมันจะเป็นพระธาตุหมด พิสูจน์ได้ง่ายๆ เลย เดี๋ยวนะอันนี้มันเรื่องของเราเอง

ถาม : ผมได้ฟังแผ่นแม่ชีหัวหินแล้วเข้าใจว่าการดูจิตเป็นปัญญาอบรมสมาธิแต่ยังไม่เข้าใจว่าปัญญาอบรมสมาธิเป็นแบบไหน ปัญญาอบรมสมาธิแบบไหนเป็นสัมมา แบบไหนเป็นมิจฉา กราบท่านช่วยอธิบายด้วย

หลวงพ่อ : แม่ชีหัวหินนะมันเป็นเวรเป็นกรรมเนาะ เราก็ไปอยู่ของเราเฉยๆ ที่หัวหิน แล้วลูกศิษย์เรา เขาไปสงสารแม่ชีที่เขารู้จักเขาก็อ้อนวอนให้ไปหาเราไง แล้วอ้อนวอนให้ไปหาเรา โดยสามัญสำนึกนะทีแรกเราก็ไม่อยากยุ่งนะ เพราะเราเข้าใจความรู้สึกของวงการกรรมฐาน คือลูกศิษย์ใครเขาก็อยากจะสั่งสอนลูกศิษย์เขา

นี่เขาพามาด้วยความสงสารไงเราก็เลยคุยกับเขา เราไม่ได้อัดเทปหรอกนะลูกศิษย์เขาอัดกันเอง แล้วก็ถ่ายมาให้เรา เราสงสารเขามาก เพราะเขาเล่าให้เราฟังเองว่า เขาเป็นอาจารย์สอนอยู่ที่จุฬาฯ แล้วก็เออร์ลี่ออกไปนะ นานเนกาเลแล้วไปอยู่กับอาจารย์สิงห์ทอง แล้วพออาจารย์สิงห์ทองเสียก็ไปอยู่บ้านตาดพักหนึ่งแล้วไปอยู่กับอาจารย์จันทร์เรียน

แล้วพอไปดูหนังสือหยดน้ำบนใบบัว แล้วเขาก็ตามหาคนที่ว่าดูจิตๆ แล้วเขาก็ไปทางนั้น เราเลยสงสารเขามาก เราเลยอธิบายให้เขาฟัง การดูจิตปัญญาอบรมสมาธิ ใช่ แต่ยังไม่เข้าใจว่าปัญญาอบรมสมาธิแบบไหนเป็นสัมมา แบบไหนเป็นมิจฉา มันเป็นมิจฉาเพราะความเข้าใจผิด เราบอกเห็นไหมหลวงปู่มั่นบอกว่า

“ต้นคดปลายคดหมด ถ้าต้นตรงปลายจะอยู่ตรง ถ้าต้นคดปลายตรงไม่มี”

ฉะนั้นเริ่มต้นเรื่องศีล แต่พวกเราปัญญาชนไปบอกกันเลยว่า เรื่องศีลสมาธิไม่จำเป็นให้ใช้ไปเลย ใช้ไปเลยนะมันก็เหมือนพวกเรา พวกเราด้วยความประมาท เครื่องมือแพทย์มันติดเชื้อแล้วเราจะเอาเครื่องมือแพทย์ที่ติดเชื้อมาผ่าตัดกัน เราผ่าตัดเพื่อรักษาโลก แล้วถ้าเอาเครื่องมือแพทย์ที่ติดเชื้อไปรักษาโรคมันจะรักษาโรคหายไหม มันมีแต่เพิ่มเชื้อโรคใช่ไหม

ในปัจจุบันความคิดพวกเรามันความคิดโดยกิเลส เหมือนเครื่องมือที่ติดเชื้อ นี่เครื่องมือที่ติดเชื้อโดยธรรมชาติมันก็ต้องอบเครื่องมือนั้นก่อน การทำสมาธิ ศีลสมาธิมันอบเชื้อ มันฆ่าเชื้อ ฆ่าเชื้อคือความมักมาก คือความอยากใหญ่ คือความมักง่าย คือความเห็นแก่ตัว คือความอยากได้ธรรมะของเราไง

เราไม่ได้ฆ่าเชื้อ เราเอาเครื่องมือที่มีเชื้อจะไปรักษาโรคกันเลย แล้วก็บอกว่า ใช้ปัญญาไปเลยๆ มองข้ามสมาธิ มองข้ามศีลสมาธิไป ศีลนี้สำคัญมากนะ แต่เวลาเราเทศน์กันครูบาอาจารย์ไม่พูดเรื่องศีลเลย เพราะถือว่าศีลมันเป็นพื้นฐานของชาวพุทธ ชาวพุทธเราต้องมีศีล ๕ โดยธรรมชาติ แล้วพอบวชเป็นพระต้องมีศีล ๒๒๗ เป็นธรรมชาติ นี่ศีลยังไม่พูดไม่พูดถึงศีลเลย

แต่เวลาวัดทั่วๆ ไป เวลาพูดนะเอาศีลมาอธิบายแล้วอธิบายเล่า ศีลไม่ฆ่าสัตว์ไม่ลักทรัพย์มันก็เป็นนิทาน นิทานก็คือว่าเราเห็นโทษของการทำลายกัน พอเห็นโทษของการทำลายกันมันกลับมาปกตินั่นก็คือการถือศีลไง การถือศีลคือความปกติของใจ การที่เราเอาโทษของการทำลายกันมาพูดนั่นคือคุณธรรมของศีล

ทีนี้พอมันมีอยู่แล้วศีลนี้ไม่จำเป็นใช่ไหม พอศีลไม่จำเป็นปั๊บก็พูดถึงความสงบเลย นี่ต้นตรง พอต้นมันตรงทำความสงบเข้ามา พอมันสงบเข้ามานี่ไงที่ว่าเข้ามาสู่จุดภพ ถ้าจิตสงบเข้ามาก็เข้าสู่ภพ ทีนี้เข้าสู่ภพการดูจิตๆ หลวงปู่ดูลย์ท่านสอนถูก หลวงปู่ดูลย์บอกให้ดูจิต ดูจิตจนจิตเห็นอาการของจิต

แต่ลูกศิษย์ของท่านสอนบอกว่าดูจิตเฉยๆ แล้วมันจะเป็นปัญญาไปเอง ห้ามคิดห้ามทำอะไรทั้งสิ้น จิตมันจะพัฒนาการของมันมันจะเป็นมรรคไปโดยธรรมชาติมันเป็นไปไม่ได้ เครื่องมือที่ติดเชื้อเอามาจับไว้เฉยๆ แล้วเชื้อมันจะหายเองโดยธรรมชาติได้ไหม มันเป็นสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ ทำอย่างไรก็แล้วแต่เครื่องมือนี้ต้องอบ อบด้วยตบะธรรม อบด้วยสมาธิ

เครื่องมือชำระจะเอามาผ่าตัดต้องทำฆ่าเชื้อมันก่อน ถ้าไม่ฆ่าเชื้อมันบวกด้วยกิเลสเราทั้งหมด การจะฆ่าเชื้อมันคือสัมมาสมาธิ แต่เขาไม่เข้าใจ พอเขาไม่เข้าใจปั๊บเขาก็บอกว่าดูไปเฉยๆ แล้วเชื้อมันจะหายไปเอง แล้วมันจะเป็นพระอรหันต์ไปเอง มันเป็นสัมมาเป็นมิจฉาตรงนี้ จะบอกว่ามันเป็นสัมมาหรือเป็นมิจฉาอยู่ที่คนชี้

คนที่ชี้ว่าถูกว่าผิด แต่โดยข้อเท็จจริงมันผิดอยู่แล้ว แต่ในเมื่อคนชี้ชี้บอกอย่างนี้ถูกแล้วเราเชื่อ พอเราเชื่อขึ้นไปเราก็สร้างอารมณ์ว่างๆ ดูจิตๆ ไปเรื่อยๆ ความคิดว่าง ความคิด เพราะดูที่ความคิด เราบอกเลยนะไม่ใช่เอาจิตดูด้วยเอาความคิดดูความคิด เพราะมันยังไม่ถึงตัวจิต ตัวที่เราเพ่งตัวที่เราดูนี่มันเป็นตัวจิตไหมไปๆ มาๆ มันเป็นความคิดเราหรือเปล่า

ที่ตัวเรา เราพยายามกันอยู่นี่มันเป็นตัวจิตหรือความคิด เป็นความคิดร้อยเปอร์เซ็นต์ คิดให้ทันนะ ตัวที่เราเพ่งที่เราตั้งใจอยู่นี่ เป็นตัวความคิดหมดไม่ใช่ตัวจิต แล้วเอาความคิดดูความคิดแล้วความคิดก็ดับไป ตัวจิตมันกระดิกตีนอยู่นั่น ตัวจิตมันกระดิกเท้านอนสบาย ไอ้ความคิดกับความคิดมันทำลายกันอยู่ข้างนอก โอ้โฮ ไอ้ตัวจิตไอ้ตัวกิเลสนะ โอ้โฮ ไอ้พวกนี้โง่ฉิบหายเลย กูนอนอยู่นี่มันไม่เห็นกู มันไปรบกันอยู่โน่น ก็เอาความคิดดูความคิดไง

แต่ถ้าเป็นปัญญาอบรมสมาธิเห็นไหมปัญญาอบรมสมาธิก็ความคิดนี่ ปัญญาอบรมสมาธิ ปัญญาไม่ใช่จิต! ปัญญาไม่ใช่จิต! ปัญญากับความคิด เอาปัญญาอบรมสมาธิเอาความคิดดูมัน พอดูมันปั๊บมันเห็นการเกิดดับ ปัญญาเห็นการเกิดดับ ปัญญารอบรู้ในกองสังขาร ปัญญารอบรู้ในความคิด

พอความคิดมันเกิดดับสิ่งที่มันเกิดดับ พอมันเกิดดับมันเหลืออะไร เหลือจิตไง เหลือจิตๆ เฮ้ย มันดับได้โว้ย เฮ้ย มันดับได้ เฮ้ย มันปล่อยได้โว้ย เห็นไหมตัวจิตมันรู้ พอตัวจิตมันรู้มันก็กลับมาตรงนี้ กลับมาดูตัวจิตตัวจิตมันก็จะรู้เท่า ตัวจิตมันจะสร้างขึ้นมาเป็นเอกัคคตารมณ์นี้ปัญญาอบรมสมาธิ

ความจริงที่เขาทำกันอยู่เราบอกประจำนะ สิ่งที่เขาประพฤติปฏิบัติกันอยู่มันเป็นสมถะทั้งหมด โดยธรรมชาติโดยสามัญสำนึกในการปฏิบัติทุกลัทธิทุกศาสนาผลของมันคือสมถะหมด เว้นไว้แต่พระพุทธเจ้าเว้นไว้แต่ศาสนาพุทธ เพราะพอมันเป็นสมถะหมด พอจิตมันสงบเข้ามาแล้ว พระพุทธเจ้าถึงเอาจิตที่สงบแล้วออกวิปัสสนา

แต่เขาคิดว่าการใช้ปัญญานั้นเป็นวิปัสสนา พอหดเข้ามาถึงปล่อยวางหมด เขาบอกว่านี่คือมรรคผลไง ทำไมเราถึงบอกว่าเขาบอก คำว่าเขาบอกเพราะอะไร เพราะจิตมันสงบเข้ามาพอมันถึงกระบวนการของมันแล้วไม่มีอะไรต่อเนื่องไง มันไม่มีอะไรต่อเนื่อง! เขาเข้าใจว่าสมาธิเขาเข้าใจว่าการปล่อยวางนั้นเป็นมรรคผล

พอเป็นมรรคผลเราถึงบอกว่านี่คือมิจฉาสมาธิ มิจฉาปัญญา เราเชื่อมั่นอย่างนี้มากเพราะเราฟังพวกนามรูป พวกสิ่งที่หนอๆ ทั้งหลายมาคุยกับเรามิจฉาสมาธิหมด เพราะหมายถึงว่าว่างๆ ว่างหมดเลย ว่างมาอย่างนี้ ๔๐ ปีแล้ว โอ๊ย ว่างๆ

คำว่าว่างนะมันไม่มีจุดเริ่มต้น ไม่มีจุดจบ สัมมาสมาธิ มีขณิกสมาธิ อุปจารสมาธิ อัปปนาสมาธิ ขณิกสมาธิมันปล่อยวางชั่วคราวแล้วมันคลายตัวออก อุปจารสมาธิคือมันพุทโธๆๆ จนจิตสงบเริ่มต้นละเอียดเข้าไป แล้วอุปจาระคือวงรอบของจิตที่ออกรู้เห็นนิมิต อุปจาระสมาธิออกจากเห็นนิมิตออกรับรู้

ถ้าพุทโธๆๆ ต่อไปมันจะเป็นอัปปนาสมาธิมันจะลึกลงไปจนดับหมดเลย อายตนะทั้งหมดความรู้สึกทั้งหมดดับหมด สักแต่ว่ารู้มันจะรู้ของมันโดยสติโดยสมาธิของมันนิ่งอยู่คนเดียว สักแต่ว่ารู้ดับหมดเลย นี่ในขั้นของสมาธินะมันยังมีระดับของมันยังมีความรับรู้มีขั้นตอนของมันได้ แล้วไปถึงว่างๆ ว่างๆ ไม่รู้มันขึ้นต้นกันที่ไหนแล้วจบลงที่ไหน แล้วไปก็ไม่ถูก ทำอะไรก็ไม่ได้ เราถึงบอกว่าเป็นมิจฉาสมาธิ

พอเป็นมิจฉาสมาธิ คำว่ามิจฉา มิจฉาคือหลงผิด มิจฉาคือไม่รู้ พอมิจฉาคือไม่รู้ปั๊บก็สร้างอารมณ์ไง อารมณ์ความรู้สึกอย่างนี้โสดาบัน อารมณ์ความรู้สึกอย่างนี้เป็นสกิทา อารมณ์ความรู้สึกอย่างนี้เป็นอนาคา อารมณ์ความรู้สึกอย่างนี้เป็นพระอรหันต์ แล้วก็สงสัยในโสดาบัน สกิทา อนาคา อรหันต์ของตัว สงสัย! ถ้าไม่สงสัยอริยสัจมีหนึ่งเดียว

คำว่าสงสัยคือว่า โสดาบัน สกิทา อนาคาของเขาเปลี่ยนแปลงได้ไง เดี๋ยวก็อย่างนี้เป็นโสดาบัน เฮ้ย โสดาบันอาจจะเป็นอย่างนี้ก็ได้ โสดาบันอาจจะเป็นอย่างนั้นๆ เราพูดอย่างนี้เพราะ เพราะคนที่หลงผิดเข้ามาหาเราเยอะมาก แล้วเราจับประเด็น คนนี้เป็นอย่างนี้ คนนี้เป็นอย่างนี้ แล้วมันมาจากไหนมันมาจากผู้สอนคนเดียว

ถ้าผู้สอนคนเดียว สอนยังหลากหลายยังจับประเด็นไม่ได้ ผู้สอนนั้นไม่สงสัยในตัวเองนะเราจะนอนแล้วให้กระทืบๆๆ เลย เพียงแต่ว่านี่เราจะพูดบอกว่าอันไหนเป็นสัมมา อันไหนเป็นมิจฉา เป็นมิจฉาทั้งหมด อย่างที่หมอเขามาหา เขาบอกว่า สีลัพพตปรามาสมันก็กลัวผิด เราบอกว่าผิดหมด ปฏิบัติไปเถอะผิดหมดเลย

ตั้งแต่เจ้าชายสิทธัตถะปฏิบัติมาก็ผิดมาหมดเลย เพราะเริ่มต้นเราปฏิบัติโดยอวิชชา เราปฏิบัติโดยที่ไม่รู้ ทุกคนปฏิบัติผิดหมดเลย แต่ผิดนั้นเราค่อยๆ แก้ไขไปมันจะเข้าไปสู่ความถูกต้อง คนที่ปฏิบัติถูกไม่มี ไม่มี ผิดหมดเลย อ้าว มือเราสกปรกเราหยิบของไปของจะสะอาดได้ไหม ต้องสกปรกไปหมด จิตเรามีกิเลสแล้วจะทำปั๊บให้ถูกเป็นไปได้ไหม ไม่ได้

เพียงแต่เราต้องรู้จักข้อมูล รู้จักข้อเท็จจริง ผิดก็คือผิดแล้วทำไปแก้ไขไป จากผิดจะเป็นถูกขึ้นมาได้ แต่ถ้าไม่ยอมรับความผิดเลยไม่มีการกระทำเลย ไม่มีการก้าวเดินเลยจะเอาอะไรมาทำให้ถูกต้อง ฉะนั้นจะบอกว่ามันจะเป็นความผิดความถูกเราจะพูดกันโดยทฤษฎีว่าอย่างไรถูกต้องอย่างไรผิดเราพูดได้ เราก็พูดได้ แต่พอพูดไปแล้วโยมก็ยิ่งจะงงเข้าไปใหญ่

สัมมาสมาธิหรือปัญญาอบรมสมาธิสิ่งที่เป็นสัมมา สิ่งที่เป็นสัมมาคือผลที่มันเกิดขึ้นไง เวลาทำพอพิจารณาไปมันปล่อยนะ ถ้าเป็นสัมมาสมาธินะเวลามันปล่อย โอ้โฮ มันทั้งรู้ทั้งเห็นทั้งจับต้องได้ทั้งสติพร้อม ถ้าเป็นสมาธินะสติสัมปชัญญะมันเต็มที่เลย แล้วมันรู้มันเห็นมันจับได้มันแน่ใจ แต่นี่ส่วนใหญ่มาเลยนะไม่รู้เรื่องเลย

ถ้าเป็นความจริงนะมันรู้มันเห็นมันจับต้องได้ชัดเจนมาก แล้วเวลามันจะออกใช้ปัญญานะมันก็ผิดอีก เพราะออกใช้ปัญญาไปแล้วเราไม่เคยทำ งานที่ไม่เคยทำใช่ไหมพอใช้ปัญญาไปพักหนึ่งประเดี๋ยวพอสมาธิมันอ่อนไง พออ่อนปั๊บมันจะตีกลับ มันตีกลับมันก็เลยเป็นสัญญา เราจะรู้เลยว่ามันไปได้ไม่ได้

แล้วพอทำไปจนชำนาญพอมันชำระขาดไป ทีนี้มันยิ่งเข้าใจเลยเพราะ คำว่าขาดคือปัญญามันจบกระบวนการของมัน เริ่มต้นเป็นสมาธิก่อนสมาธิเป็นพื้นฐาน พอใช้ปัญญากระบวนการของปัญญามันชำระจนขาด พอขาดมันจบสิ้นกระบวนการของโสดาบันแล้ว พอจบสิ้นกระบวนการของโสดาบันเหมือนคนทำงานจบสิ้นแล้ว คนทำงานที่จบสิ้นแล้วเราทำงานเป็นหรือยัง เป็นแล้ว

ทีนี้พอทำอะไรปุ๊บมันจะง่ายขึ้นแล้ว พอเป็นโสดาบันปั๊บมันมีพื้นฐานแล้วจะทำต่อไปได้ง่ายขึ้น ง่ายขึ้น ฉะนั้นเวลามันเป็นทีละขั้น ทีนี้มันถึงต้องๆ ฟังนะ หลวงตาเวลาหลวงปู่มั่นเจ็บป่วยแล้วท่านบอกว่าท่านกำลังปัญญาหมุนติ้วๆ เวลาไปภาวนาหลวงปู่มั่นท่านนอนป่วยอยู่ที่บ้านภู่ แล้วหลวงตาท่านขึ้นไปถามปัญหา หลวงปู่มั่นป่วยๆ ลุกขึ้นมาเลยตอบพั้บๆๆ เลย

เราจะบอกว่าแม้แต่เป็นอนาคามรรค อนาคามรรคนะ หลวงตาท่านกำลังหมุนเต็มที่เลย กำลังพิจารณาอสุภะเต็มที่เลยยังจะต้องให้คนชี้เลย พอมีปัญหาปั๊บจะขึ้นไปกราบเลย พอกราบหลวงปู่มั่นก็ลุกขึ้นมาตอบเลย พอถามเข้าใจยัง หลวงตาท่านบอกว่าถ้ายังไม่เข้าใจท่านก็จะก้มหน้าเฉยๆ พอก้มหน้าเฉยๆ หลวงปู่มั่นก็จะอธิบายรอบ ๒ คือเอาเหตุผลมาให้ฟังอีก เข้าใจยัง ถ้ายังไม่เข้าใจก็ยังก้มอยู่อย่างนั้นไม่ยอมลง

แต่พอเข้าใจปั๊บท่านบอกเลย กราบ ๓ หน กราบๆๆ วิ่งลงเลย เข้าทางจงกรม เราจะบอกว่าแม้แต่ขั้นอนาคาขั้นพระอรหันต์นะ หลวงตาท่านบอกเลย พอหลวงปู่มั่นนิพพานไปแล้ว ถ้าหลวงปู่มั่นอยู่นะถ้าไปถามนะหลวงปู่มั่นชี้ปั๊บท่านสำเร็จวันนั้นเลย แต่หลวงปู่มั่นไม่อยู่ท่านหาอีก ๘ เดือน

นี่เราจะบอกว่าแม้แต่ขั้นอนาคาขั้นพระอรหันต์ เขายังแสวงหาครูบาอาจารย์กัน เขายังต้องให้ครูบาอาจารย์ชี้นำเลยแล้วเราทำอะไรกัน ปฏิบัตินี่เหมือนเราไข้ คนไข้ เป็นไข้โรคมันรุนแรงไงเขาต้องหาหมอที่ถึงนะ หาหมอมือถึงๆ แล้วรักษาเราให้หาย ไอ้เรา โอ้โฮ เหมือนไก่เขี่ย เขี่ยหาเศษข้าวเขี่ยไปเรื่อย เขี่ยไปเรื่อย ปฏิบัติ มันยากกันตรงนี้ไง มันยากเพราะว่าเราจริงจังแค่ไหน

อันนี้เราว่าอะไรเป็นสัมมา เพราะว่าตั้งปัญหามาว่าสิ่งใดเป็นสัมมา สิ่งใดเป็นมิจฉา เพราะว่าคำที่เราคุยกับแม่ชีถ้าเราจำได้คร่าวๆ เราพยายามชี้ให้เขาเห็นว่า สิ่งที่เขาทำมันจะเสียเวลาเปล่า เพราะเวลาเขาบอกว่าพิจารณาดูจิตแล้วมันปล่อยวางแล้วมันว่าง เราก็ถามเขากลับว่าว่างเดี๋ยวก็คิดอีกใช่ไหม มันปล่อยวางแล้วก็เอากลับมาคิดใช่ไหม เขาก็บอกใช่ค่ะ ใช่ค่ะ

เราจะบอกว่าถ้าทำอย่างนี้นะมันก็จะหมุนเวียนเป็นอนิจจังอยู่อย่างนี้ คือมันจะไม่ไปไหนหรอก เพราะในหยดน้ำไอ้คนที่ว่าดูจิต ดูจิตไปถามหลวงตา ท่านบอกว่าท่านดูจิตจนจิตสงบ ถามหลวงตาว่าถูกต้องไหม หลวงตาบอก “ถูกอยู่ แต่นี้เป็นคฤหัสถ์นะ ถ้าเป็นพระนะเราจะตีให้หลงทิศเลย”

คำว่า “ตีให้หลงทิศ” ไปอ่านเล่มนั้นเลย หนังสือเล่มเดียวกัน หน้าเดียวกัน เขาอ่านเขาตีความไปอย่างหนึ่ง เราอ่านเราตีความไปอีกอย่างหนึ่ง เพราะเราตีความว่า

“ดีนะเป็นคฤหัสถ์ดูจิตแล้วจิตสงบจะถูกต้องไหม ถูก ดีนะเป็นคฤหัสถ์ ถ้าเป็นพระนะเราจะตีให้หลงทิศ คำว่าตีให้หลงทิศคือว่าขั้นตอนยังต้องไปอีกเยอะแยะเลยไง”

แต่นี่เขาบอกเขาดูจิตแล้ว จิตมันปล่อยวางแล้วไง ไปถามหลวงตาว่าถูกไหม ถูก นี่ก็อรหันต์ไง แล้วถูกไหม ถ้าถูกทำไมยังต้องวิ่งหาอาจารย์กันให้ควั่กไปเลย เพราะเราได้ข่าวว่ามาอยู่แถวนี้ โป่งกระทิงนี่ มาปลูกกุฏินอนกันอยู่นี่ แล้วบอกด้วยว่าไม่ไหวแล้วค่ะอายุมากแล้ว ๘๐-๙๐ แล้ว

ไอ้ที่เราเตือนตอนนั้นเพราะเราเห็นตรงนี้ เห็นตรงที่ ๑ ความตั้งใจ เขาทิ้งสมบัติของเขามา เขาทิ้งตำแหน่งหน้าที่การงานมา เขาหวังผลเพื่อจะได้ผล แล้วก็ไปทำกันทำกันแล้วเริ่มต้นดีมาก เพราะเริ่มต้นไปอยู่กับอาจารย์สิงห์ทอง แล้วพอปฏิบัติไปบอกว่าทางนี้เป็นทางที่ทุกข์ยาก แล้วร่างกายมันไม่ไหวก็ไปดูจิตดีกว่าง่ายดี ก็เลยฟาล์วเลยไง ก็เลยจับต้องอะไรไม่ได้เลย

น่าสงสาร นี่ก็วาสนาของคนนะ วาสนาของคน แม่ชีหัวหินเราพูดตรงนั้น เราพยายามชี้ให้เขาเห็น บอกว่า ไปทางนั้นเอ็งจะคว้าน้ำเหลว เอ็งจะไม่ได้อะไรติดมือมา แล้วเอ็งจะเสียเวลาไปทั้งชีวิต มันจะได้มาก็ได้ประสบการณ์คือว่าอย่างที่ปฏิบัติบูชา ปฏิบัติให้ภพชาติสั้นเข้าแล้วชาติหน้าไปเอากันใหม่ แต่ถ้าเราปฏิบัติให้ถูกต้องเราเอากันเดี๋ยวนี้ เอาที่ปัจจุบันนี้ นี่แม่ชีหัวหิน

เขียนมาให้เข้าประเด็นเลย ให้เจาะจงมาเลยนี่มันเพียงแต่ว่าสัมมามิจฉา ว่าอย่างไรถึงถูกต้อง อย่างไรผิด เพราะว่ากรณีแม่ชีเราแนะนำ แต่ว่ามัน..เราบอกเขาเลยว่าทางไปอย่างนั้นไปไม่รอด เราจะแนะนำให้เขาแบบว่าให้เขากลับมาทำจิตให้มั่นคงให้เข้าถึงภพที่ว่าเข้ามาถึงภพ เข้ามาถึงตัวฐานตัวเชื้อโรค แล้วไปชำระล้างกันที่นั่นเราจะมีโอกาส ถ้าเราจะออกไปทำกันอย่างนั้นเราจะไม่มีโอกาสนะ ใครยังมีอะไรต่อไปไหม เอวัง